WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน 14-7-2020ASP

กลยุทธ์การลงทุน

ความกังวลเรื่อง Covid-19 กลับเข้ามาในบ้านเราอีกครั้ง หลังเกิดความเสี่ยงขึ้นในพื้นที่ จ.ระยอง และใจกลาง กทม. เชื่อกดดันให้ SET Index ซึ่งมี Valuation สูงอยู่แล้วปรับตัวลดลง พอร์ตจำลองวานี้ Stop profit หุ้น INSET รับกำไรเกือบ 14% แนะนำให้จัดสรรเงินเข้าลงทุนใน STA ด้วยน้ำหนักเท่ากัน หุ้น Top Pick วันนี้เลือก STA และ STGT

ยกการ์ดสูงขึ้นกัน Covid-19 ... กดดัน SET Index ลงต่ำ

การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกที่สร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จนเห็นการกลับมาประกาศ Lockdown ในหลายพื้นที่ สร้างความกังวล และทำให้ Fund Flow ไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นแม้จะให้ผลตอบแทนที่ต่ำ เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ภายในประเทศไทย ที่กระแสความกังวลเรื่องการระบาดของ Covid-19 กลับมาอีกครั้งหลังเกิดความเสี่ยงขึ้นในพื้นที่จังหวัดระยอง และใจกลาง กทม. เชื่อว่าจะเห็นมาตรการที่ยกการ์ดป้องกัน Covid-19 สูงขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นที่ต้องทำ Lockdown สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวคาดจะสร้างแรงกดดันต่อ SET Index แต่ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นบางบริษัทเช่น STA, STGT อีกสถานการณ์หนึ่งที่ต้องติดตามได้แก่ Trade War ซึ่งเห็นพัฒนาการในทางที่ร้อนแรงขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ประเมินจากท่าทีของ สหรัฐฯ และ จีน ที่ตึงเครียดมากขึ้น โดยภาพรวมคาดว่า SET Index วันนี้น่าจะปรับฐานลงต่อ สำหรับพอร์ตการลงทุนจำลอง วานนี้ได้ Stop Profit หุ้น INSET รับกำไรเกือบ 14% แนะนำให้นำเม็ดเงินที่ได้เข้าลงทุนใน STA ด้วยน้ำหนักเท่ากัน (10%) ส่วน Top Pick วันนี้ เลือก STA และ STGT เนื่องจากได้ประโยชน์ทางตรงจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 ทั่วโลก

Trade War สหรัฐฯ-จีน แนวโน้มร้อนแรงขึ้นตามลำดับ

ปัจจัยเสี่ยงนึงที่ตลาดหุ้นทั่วโลก คือ ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจ สหรัฐ - จีนกลับมาอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ช่วง 2Q63 คือ ฝั่งสหรัฐ ไม่พอใจหลังจากจีนได้ผ่านร่างกฎหมาย Hongkong ACT ทำให้สหรัฐออกมาตรการกดดันจีน อาทิ Ban ธุรกิจของจีน Social media อาทิ "Tiktok" และโทรคมนาคม Huawei และ ZTE รวมถึง Sanction เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ขณะที่ฝั่งจีนก็มีการตอบโต้ สหรัฐ คืน คือ Sanction สว. ของสหรัฐ 4 ท่าน

ASPS ประเมินความตึงเครียดสหรัฐ-จีน จะยังมีน้ำหนักต่อตลาดตลอดช่วง 4 เดือน ก.ค.-ต.ค. ก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐวันที่ 3 พ.ย. ทั้งนี้หากพิจารณาPoll สำรวจ Bloomberg จะพบว่าคะแนนความนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ (Republican) น้อยกว่า Joe Biden(Democrat) ซึ่งมีคำแนนนำ 10% ติดต่อกัน 1 เดือน เชื่อว่าระหว่างช่วงหาเสียงในครั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ น่าจะยิบหยกประเด็น American first และมาตรการกดดันจีนเพิ่มขึ้นอีกเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม

อย่างไรก็ตามจาก Poll สำรวจเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า นาย Joe Biden(Democrat)มีโอกาสชนะการเลือกตั้งรอบนี้สูงมาก โดย ASPS ประเมินจากนโยบายหาเสียง Joe Biden เกือบคล้ายกับ Obama (ดังตาราง) มีจุดที่เหมือนและจุดที่แตกต่างกับ ประธานาธิบดีทรัมป์ (Republican)คือ

นโยบายที่ต่าง คือ 1. ปรับเพิ่มภาษีเงินบุคคลธรรมดาและนิดติบุคคลขึ้น เพื่อเอาไปใช้กับนโยบาย Health care 2.ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 100%เป็น 15เหรียญฯ/ช.ม.

นโยบายที่เหมือนกัน คือ มองประเทศจีนเป็นภัยคุกคามสหรัฐ แต่มีความต่างตรงที่จะกลับเข้าร่วมข้อตกลงการค้า TPP ฯลฯ

โดยสรุปนโยบายหาเสียงของนาย Joe Biden เป็นมิตรต่อการค้าโลกมากกว่า แต่จะไม่ดีตลาดตลาดหุ้นสหรัฐ

Covid-19 ทั่วโลกยังระบาดรุนแรง เพิ่มความเสี่ยงเชิงเศรษฐกิจ

นอกเหนือจะมีเรื่อง Trade war ดังกล่าว และปัจจัยสำคัญที่ยังมีน้ำหนักคือความกังวล Covid-19 หลังจากผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกที่ยังเพิ่มขึ้น และหนุนยอดสะสมทะลุ 13 ล้านราย หนุนรัฐบาลทั่วโลกเดินหน้า พิจารณาการผ่อนคลายธุรกิจและ กลับมา Lockdown รอบ 2 ปัจจุบัน มี 12 ประเทศทั่วโลกที่กลับมา Lockdow ล่าสุด สหรัฐ รัฐ Florida สั่งปิดร้านอาหารผับ บาร์ ฯลฯ

โดยรวมถือเป็ปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยง ตลาดหุ้น และราคาสินค้าโภคภัณท์ อาทิ น้ำมัน ล่าสุดปรับฐานลงแรง 1% โดยวันนี้เป็นวันแรก 14-15 ก.ค. ของการประชุม OPEC+ ให้น้ำหนักผลการประชุมต่อ คำแนะนำหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มน้ำมัน ราคาหุ้น PTTEP(FV@B>100) PTT (FV@B>42 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนเหลือ upside จาก FV ค่อนข้างจำกัด กลุ่มโรงกลั่น ราคาหุ้น TOP (FV@B>43) BCP (FV@B>21.2) PTTGC (FV@45) IRPC (FV@B>2.9), ปิโตรเคมี IVL (FV@B>32) TOP, PTTGC ในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวขึ้นมา และใกล้เต็มมูลค่าพื้นฐานเกือบหมดแล้ว ASPS มีแนวโน้มปรับลด คำแนะนำของกลุ่ม จากเท่าตลาดเหลือ "น้อยกว่าตลาด" เนื่องจากไม่มีปัจจัยหนุนบวกขับเคลื่อนราคาใรระยะสั้น โดยเฉพาะงวด 3Q63 ซึ่งเป็นฤดูฝน Low season ของธุรกิจปิโตรเคมี และช่วง 2H63 ยังมีปัจจัยกดดันจากSupply ใหม่ในทุกสายการผลิต กดดัน Spread โดยภาพรวม

ความกังวล Covid-19 ในประเทศกลับมา คาด SET Index ปรับลง

แม้ปัจจุบัน ไทยจะไม่พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 จากในประเทศ มาต่อเนื่องถึง 49 วันแล้ว (ดังรูป) แต่ ล่าสุดกระแสความกังวลการระบาดระลอกที่ 2 (2nd wave) เริ่มเกิดขึ้น ภายหลังวานนี้ ศบค. รายงานพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 ใหม่จำนวน 3 ราย และมี 2 รายเดินทางไปในที่สาธารณะในจังหวัดระยอง และกรุงเทพฯ (เจ้าหน้าที่ทหารชาวอียิปต์ และเด็กหญิงสมาชิกครอบครัวของคณะทูต) ประเด็นดังกล่าวกระตุ้นความกังวลว่าไทยอาจเผชิญกับการระบาด 2nd wave ได้

จากสถานการณ์ข้างต้น ASPS เชื่อว่าภาครัฐจะมีแนวโน้มออกมาตรการใน 2 รูปแบบ คล้ายกับที่เคยทำในอดีต ดังนี้

- มาตรการป้องกัน และควบคุมการระบาด: เช่นการปิดสถานที่เสี่ยง (ระยองสั่งปิดโรงแรมที่ผู้ติดเชื้อเข้าพัก และปิดโรงเรียนกว่า 10 แห่ง), การเว้นระยะห่างทางสังคม, การจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ หรือจำกัดเวลาใช้บริการในสถานที่ต่างๆ

- มาตรการเยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจ: เนื่องจากมาตรการป้องกันการระบาดข้าวต้น ส่งผลกระทบต่อเศษรฐกิจ จึงคาดว่าภาครัฐจะมีแนวโน้มออกมาตรการเยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจตามมา ซึ่งคาดคล้ายกับที่เคยออกเมื่อช่วง เม.ย. - พ.ค. 2563 เช่น การจ่ายเงินเยียวยา, สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ดูเพิ่มใน Market Talk ฉบับวันที่ 13 ก.ค. 2563) รวมถึงพิจารณามาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อหลังการรบาดลดลง เช่น ช้อปช่วยชาติ เป็นต้น

โดยรวมแล้ว ASPS ประเมินว่าความกังวล 2nd wave ข้างต้น จะส่งผลให้ประชาชนมีความกังวลเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มชะลอการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะกดดันการบริโภคเอกชน, การลงทุนเอกชน, การจ้างงาน (ล่าสุดเดือน มิ.ย. 2563 มีผู้ถูกเลิกจ้าง 2,133 ราย เพิ่มขึ้นจาก พ.ค. 2563 ที่ 1,972 ราย) และสร้าง Downside ต่อ เศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทยต่อไป

เน้นหุ้นที่มีเกราะป้องกันโควิดระบาดระยะ 2 ชอบ STGT, STA

การแพร่ระบาด Covid-19 ที่ยืนในระดับสูง 2 แสนรายต่อวัน รวมถึงการขยาย Lockdown เป็นวงกว้าง ทั้งในส่วนประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา ล่าสุดมีประเทศสหรัฐที่ล่าสุดประกาศ Lockdown เมือง California ห้ามเปิดธุรกิจในสถานปิด สร้างความกังต่อนักลงทุนในตลาดหุ้น ขณะที่ประเทศไทยเอง มีการ Lockdown ธุรกิจบางประเภท เช่น โรงเรียน และห้างสรรพสินค้าที่จังหวัดระยอง ส่งผลให้ผู้คนเริ่มมีการตื่นตัว รวมถึงกังวลต่อการระบาดของไวรัสโควิดระยะที่ 2 มากขึ้น ถือเป็นประเด็นกดดันตลาดหุ้น

การลงทุนในช่วงนี้จำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยทำการคัดกรองหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่ Outperform ตลาดได้ดีตอนที่เกิด COVID-19 ในระยะแรก โดยมีเงื่อนไขดังนี้

  1. หุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯแนะนำ "ซื้อ"
  2. หุ้นที่มี Upside เกิน 10%
  3. หุ้นที่ Outperform ตลาดได้ดีตอนที่เกิด COVID-19 ในระยะแรก คือ วันที่ 24 ม.ค. - 23 มี.ค. 63 (ระยะเวลา 3 เดือน โดยวันที่ 23 มี.ค. 63 SET Index ทำจุดต่ำสุดของปี 2563) หรือ เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็น COVID-19

และสามารถแบ่งแยกหุ้นเด่นในยาม COVID-19 ได้เป็น 2 ส่วน คือ

หุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็น COVID-19 แนะนำ STGT, STA การกลับมาตระหนัก (ยกการ์ดสูง) ถึงการป้องกันไวรัส ช่วยหนุนความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มขึ้น

หุ้นที่ปรับตัวได้ดีในตอนเกิด COVID-19 ในระยะแรก กลุ่มสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค (CPF, CPALL) กลุ่มสื่อสารได้ประโยชน์จากปรับตัวตาม Social Distancing (ADVANC, INTUCH, DIF) และหุ้นที่มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับผลกระทบ COVID-19 (DCC)

Top Pick วันนี้เลือก STGT, STA

STGT(FV @ 90.00) ทยอยปรับเพิ่มราคาขายถุงมือยางได้ต่อเนื่องราว 5% ต่อเดือน ตั้งแต่สิ้นงวด 1Q63 ขณะที่คาดปริมาณขายถุงมือยางของ STGT ในปี 2563-64 จะเติบโตถึง 40.8% yoy และ 7.1% yoy มาที่ 2.8 หมื่นล้านชิ้น และ 3.0 หมื่นล้านชิ้น ทำให้โดยรวมแล้ว คาดกำไรสุทธิปี 2563-64 ของ STGT จะเติบโตถึง 558.8% yoy และ 7.4% yoy ตามลำดับ โดยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิงวด 2Q63 ของ STGT จะเติบโตโดดเด่น ทั้ง QoQ และ YoY และขึ้นทำ New high รายไตรมาส ตั้งแต่งวด 2Q63 ถึง 4Q63 ขณะที่ Valuation ยังน่าสนใจกว่าหุ้นถุงมือยางในมาเลเซียมาก โดยล่าสุด STGT ซื้อขายที่ PER ปี 2563 ที่ 28 เท่า ต่ำกว่าหุ้นถุงมือยางในเมาเลเซียที่ซื้อขายที่ PER เฉลี่ย 35 เท่ามาก จึงยังแนะนำซื้อ กำหนด Fair Value ปี 2563 ที่ 90 บาท

STA(FV @ 37.00) (ถือหุ้น STGT 56.1%) ก็ได้ประโยชน์จากธุรกิจถุงมือยางที่เติบโตโดดเด่นเช่นกัน นอกจากนี้ ธุรกิจยางพาราในปี 2563 จะฟื้นตัวจากปีก่อน จากคู่แข่งโรงงานแปรรูปยางพารารายกลาง 3-4 ราย หยุดดำเนินการผลิตชั่วคราว ทำให้ลูกค้าหันมาสั่งซื้อยางพาราจาก STA มากขึ้น เพราะเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่สุดของโลก หนุนแนวโน้มปริมาณขายยางพาราปี 2563-64 เพิ่มขึ้น 17.8% yoy และ 7.7% yoy ล้วนหนุนแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2563 เท่ากับ 3.6 พันล้านบาท พลิกจากที่ขาดทุนสุทธิ 149 ล้านบาทในปี 2562 ขณะที่คาดแนวโน้มกำไรสุทธิงวด 2Q63 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากธุรกิจถุงมือยางเติบโตต่อเนื่อง จึงแนะนำซื้อ กำหนด Fair Value ปี 2563 เท่ากับ 37 บาท โดยใช้วิธี SOTP โดยกำหนด Fair Value ของธุรกิจถุงมือยางเท่ากับ 28 บาท โดยใช้ Fair value ของ STGT ตามสัดส่วนการถือหุ้นของ STA ซึ่งได้รวมส่วนลด (Discount) จากมูลค่าพื้นฐานของ STGT ถึง 35% และ Fair Value ของธุรกิจถุงมือยาง เท่ากับ 9 บาท นอกจากนี้ราคาหุ้น STA ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนมี Market Cap. ที่ 4.64 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นอันดับสูงกว่าหุ้นที่เล็กสุดใน SET50 อย่าง TCAP 3.9 หมื่นล้านบาท และใกล้กับอันดับที่ 49 อย่าง WHA 4.69 หมื่นล้านบาท ทำให้ STA มีโอกาสสูงที่จะเข้าคำนวณในดัชนี SET50 รอบถัดไป (1H64)

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ภราดร เตียรณปราโมทย์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร

ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

ภวัต ภัทราพงศ์

ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

ที่มา: บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประจำวันที่ 14 ก.ค. 2563

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!