- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 09 July 2020 18:01
- Hits: 6019
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 9-7-2020
ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)
มีเด้งสั้นบ้าง ภาพใหญ่ยังคงไซด์เวย์
KGI ประเมิน SET Index วันพฤหัสฯ รีบาวด์ได้บ้าง แต่ภาพใหญ่ของดัชนีฯ ยังเป็นไซด์เวย์ เนื่องจาก valuations ค่อนข้างตึงสำหรับภาพระยะสั้น ผนวกกับนักลงทุนส่วนใหญ่รอดูผลประกอบการไตรมาส 2/2563 ของ บจ. รวมทั้งแนวโน้มครึ่งปีหลัง ก่อนกำหนดแนวทางการลงทุนอีกครั้ง... ขณะที่เมื่อวานนี้ ดัชนีฯ เทรดในกรอบแคบๆ เกือบทั้งวัน ก่อนเผชิญแรงขายมากขึ้นใน ชม. สุดท้าย (ใกล้เคียงที่คาด)... สำหรับปัจจัยวันนี้เป็นกลาง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวขึ้นแต่แรงซื้อกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก ขณะที่จิตวิทยาของตลาดเป็นกลางๆ และนักลงทุนยังติดตามตัวเลขติดเชื้อ COVID-19 ต่อไป ล่าสุดสหรัฐฯ มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ต่อวันแตะ 6 หมื่นคนแล้ว อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงมุมมองว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะมีผลจำกัดต่อตลาดหุ้น ตราบเท่าที่ยังไม่มีการประกาศล็อกดาวน์รอบใหม่ ด้านค่าเงินบาทที่อ่อนลงค่อนข้างเร็วในช่วงนี้ ผนวกกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ชัดเจน สถานการณ์การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวอาจเลื่อนออกไป น่าจะส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังอยู่ในฝั่งขายสุทธิต่อไป โดยสรุปแล้ว ฝ่ายวิจัยยังมองว่า SET Index สัปดาห์นี้อยู่ในช่วงปรับฐาน แต่มองว่าความเสี่ยงทางลงมีไม่มากนัก
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)
เก็งกำไร SUSCO, STA*, CPF*
SUSCO (เป้า Consensus 3.65 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 2.6 บาท / แนวต้าน 2.7 - 2.9 บาท (Stop loss 2.5 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกจากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ ทำให้ดีมานด์น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อการเดินทาง + ขนส่งฟื้นตัว 3) Valuation ไม่แพง PE ปีนี้ 13.6 เท่า (ข้อมูล Bloomberg consensus), PBV 0.81 เท่า 4) คาดรับ Sentiment บวกจากการใกล้ IPO บ.ลูกของ PTT* (OR) ... เลือกเป็นหุ้นเด่นจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณของเดือน ก.ค ดูเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ Quantamental 7 ก.ค.
STA* (เป้า Consensus 28.7 บาท / สูงสุด 39.9 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 28 บาท / แนวต้าน 33 บาท (Stop loss 27 บาท) 2) ประเมินราคาหุ้น Laggard บ.ลูก STGT โดย หากคำนวณ Valuation จาก Market cap STGT ราคาปิดวานนี้ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 50.75% จะคิดเป็นมูลค่าราว 5 หมื่นล้านบาท มากกว่า Market cap ของ STA* ล่าสุดที่เพียง 4.6 หมื่นล้านบาท 3) Consensus ประเมิน PE ปีนี้เพียง ±16 เท่า ... วันนี้ฝ่ายวิจัยฯออกบทวิเคราะห์ STGT เป้าพื้นฐาน 82 บาท
CPF* (เป้าพื้นฐาน 38 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 31.5 บาท / แนวต้าน 32.5 – 33 บาท หากผ่านได้แนวต้านถัดไป ±35 บาท (Stop loss 30.5 บาท) 2) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q63 รับอานิสงส์ ราคาเนื้อหมูและไก่ที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่องในขณะนี้ ... อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ Weekly Agricultural วันนี้ 3) ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนตัวเป็นบวกต่อการส่งออกใน 3Q63 ที่เป็น High season
หุ้นมีข่าว
(+) IRPC* ฟื้นตั้งแต่ไตรมาส 2 กำไรค่ากลั่น 8-9 เหรียญฯ ครึ่งปีหลังไร้ขาดทุนสต๊อก-ราคาผลิตภัณฑ์ดีด (ข่าวหุ้น) “ไออาร์พีซี” ส่งซิกผลงานไตรมาส 2/63 แจ่ม! อานิสงส์กำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) ขยับขึ้น แตะ 8-9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มั่นใจครึ่งปีหลังฟื้นตัว! ไร้ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน แถมราคาขายผลิตภัณฑ์ธุรกิจปิโตรเลียม-ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น
(+) DEMCO แบ็กล็อกพุ่ง 3.7 พันล. คว้า 2 โครงการใหม่ตุนพอร์ต (ทันหุ้น) DEMCO คว้าโครงการ GIS and Ductbank Distribution Network Project มูลค่ารวม 719 ล้านบาท และโครงการสัญญาจ้างจัดหาอุปกรณ์พร้อมก่อสร้างงานสถานีไฟฟ้า และเคเบิลใต้ดิน 230 เควี มูลค่าโครงการ 153 ล้านบาท ผู้บริหาร "พงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์" เคาะครึ่งปีหลัง 2563 โตต่อเนื่อง จากแบ็กล็อกที่มีอยู่ในมือกว่า 3,700 ล้านบาท พร้อมลุยงานภาครัฐกว่า 5 หมื่นล้านหนุนการเติบโตรอบใหม่
(- AOT*) THAI* ขอ AOT* ยกเลิกหรือลดหนี้ แถมคงสัญญาเดิมทั้งหมดที่มีต่อกันจนครบดีล (ข่าวหุ้น) “การบินไทย” ขอ AOT* ยกเลิกหรือลดหนี้ แถมขอหน่วยงานคมนาคม ช่วยคงสัญญาเดิมสมัยเป็นรัฐวิสาหกิจไว้ก่อน จนกว่าจะครบดีล “ปลัดคมนาคม” เผยพร้อมช่วยเท่าที่ทำได้ แต่ต้องถูกกฎหมาย และยึดหลักไม่เลือกปฏิบัติของ ICAO ยอมรับ AOT* ก็แย่จาก COVID-19 คงเว้นหนี้ให้ THAI* ไม่ไหว! ฟาก “กพท.” จ่อชง “กบร.” ปรับปรุงแผนแม่บทห้วงอากาศและการเดินอากาศแห่งชาติ
(+) VL วันนี้เซ็นบางจาก ขนน้ำมัน 5 ปี-ยิลด์ 6% (ทันหุ้น) วันนี้ VL ผู้บริหาร "ชุติภา กลิ่นสุวรรณ" จรดปากกาต่อสัญญาขนส่งน้ำมันกับ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP* เป็นเวลา 5 ปี ลั่นเรือ 12 ลำ น้ำหนักบรรทุก 4 หมื่นเดตเวตตัน พร้อมให้บริการ คาดรายได้ปีนี้โตฉลุย 20% เจาะหุ้นพบซ่อนมูลค่า มีพี/อี 10.60 เท่า อัตราผลตอบแทนการลงทุน (ยิลด์) ถึง 6%
หุ้นที่เคยแนะนำก่อนหน้า
หุ้นที่แนะนำ "Let profit run" โดยกำหนดจุดล็อกกำไร Trailing stop: RS* (Trailing stop 15.5 บาท), JMART (Trailing stop 11 บาท), SEAFCO (Trailing 5.9 บาท)
หุ้นที่รอลุ้นผ่านแนวต้านสำคัญ หากผ่านได้แนะนำ "Let profit run" INTUCH* (รับ 56.5 บาท / ต้าน 58 บาท / Trailing stop 56 บาท)
AAV* (เป้า Consensus 2.08 บาท / สูงสุด 3.90 บาท) แนวรับ 2.0 บาท / แนวต้าน 2.20 บาท (Trailing stop 1.96 บาท)
VGI* (เป้า Consensus 7.88 บาท) แนวรับ 7.5 บาท / แนวต้าน 8.0 - 8.1 บาท (Trailing stop 7.3 บาท)
GULF* (เป้าพื้นฐาน 41 บาท) แนวรับ 38 บาท / แนวต้าน 39 - 41 บาท (Trailing stop 37 บาท)
SPRC* (เป้าพื้นฐาน 10 บาท) แนวรับ 6.6 บาท / แนวต้าน 7.2 บาท (Stop loss 6.6 บาท)
AMATA* (เป้าพื้นฐาน 18.5 บาท) แนวรับ 15.8 บาท / แนวต้าน 16.4 - 17 บาท (Stop loss 15.4 บาท)
STEC* (เป้าพื้นฐาน 19.2 บาท) แนวรับ 15.4 บาท / แนวต้าน 16.2 - 16.4 บาท (Stop loss 15.0 บาท)
EP (เป้าพื้นฐาน 5.1 บาท) แนวรับ 3.7 บาท / แนวต้าน 3.84 - 4.0 บาท (Trailing stop 3.6 บาท)
สรุป Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
EA* ยังไม่มีคำแนะนำ ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน EA* กำลังเดินหน้าสู่ธุรกิจที่จะเป็น S-Curve ตัวใหม่ (EV/ESS) กลยุทธ์ธุรกิจ EV ของบริษัทคือ i) สร้างสำนึกของสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของ EV และ ii) เปลี่ยนการขนส่งสาธารณะในประเทศให้หันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (แท็กซี่ รถโดยสาร และเรือไฟฟ้า) ธุรกิจระบบจัดเก็บไฟฟ้า (energy storage system หรือ ESS) ก็มีโอกาสเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของ microgrid solutions คาดว่าอุปสงค์จาก EV รถโดยสารไฟฟ้า และเรือข้ามฟากไฟฟ้า จะคิดเป็นประมาณ 30-50% ของกำลังการผลิตแบตเตอรี่จากโรงงานของบริษัท 1GWh อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนมูลค่าของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ (5-6GWh) ไปบางส่วนแล้ว ... อ่านการประเมิน Valuation หุ้น EA* เพิ่มเติม
STGT แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 82 บาท ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวโน้มกำไรโต +72.7% CAGR 2563 - 65 จากดีมานด์ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นมาก (อานิสงส์จากโควิด-19)
SPRC* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 10 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร 2Q63 = 1.2 พันล้านบาท (Turnaround YoY, QoQ) เป็นผลจากการรับรู้กำไรสต๊อก และค่าการกลั่นที่ดีขึ้น QoQ อย่างไรก็ดีแนวโน้ม Sentiment อาจจะถูกกดดันจากประเด็นที่ต้นทุน Crude premium สูงกลับไปอยู่ระดับปกติใน 3Q63
กลุ่มอสังหาฯ น้ำหนักลงทุน "เท่ากับตลาดฯ" จากการสำรวจล่าสุด ประเมินการเปิดตัวโครงการใหม่ๆใน 2Q63 ลดลง -21% QoQ, และ -55% YoY เนื่องจากผู้ประกอบการฯมุ่งเน้นการระบายสต๊อกเป็นหลัก อย่างไรก็ดียอดขาย Presale เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาจากโปรโมชั่นกระตุ้นการขาย ยังคงเลือก AP*, LH* เป็นหุ้นเด่น (เน้น Low rise และกลุ่มลูกค้ากลาง - บน)
Energy Absolute (EA.BK/EA TB)*
เดินหน้าสู่ธุรกิจที่จะเป็น S-Curve ตัวใหม่ (EV/ESS)
Event มุมมองของเราจาก company visit
lmpact
รายได้จากพลังงานหมุนเวียนคิดเป็นสามในสี่ของรายได้ทั้งหมด
EA เป็นหนึ่งในผู้ผลิตลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเน้นที่สามกลุ่มธุรกิจหลัก (พลังงานหมุนเวียน ไบโอดีเซล และธุรกิจอื่น ๆ) ทั้งนี้ รายได้จากพลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 73% ของรายได้บริษัทในปี 2562 ในขณะที่รายได้จากไบโอดีเซลคิดเป็น 25.4% ของรายได้ปี 2562
มีแผนจะเริ่มผลิต EV ใน 4Q63 ในขณะที่โรงงานผลิตแบตเตอรี่ (1GWh) จะเริ่มผลิตปี 2564
กลยุทธ์ธุรกิจ EV ของบริษัทคือ i) สร้างสำนึกของสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของ EV และ ii) เปลี่ยนการขนส่งสาธารณะในประเทศให้หันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (แท็กซี่ รถโดยสาร และเรือข้ามฟาก) โดย EA ได้เปิดตัว MINE SPA1 (MPV) ออกมาแล้ว และตั้งเป้าจะส่งมอบได้ 180 คันเพื่อใช้เป็นรถแท็กซี่ใน 4Q63 และอีก 4,800 คันในปี 2564 ทั้งนี้ บริษัทมีโรงงานผลิตรถยนต์ของตัวเองแล้ว และกำลังจะมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ด้วย โดยโรงงานผลิตแบตเตอรี่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะเริ่มทำการผลิตได้ในปี 2564
คาดว่าเทคโนโลยี EV ในปัจจุบันมีจุดคุ้มทุนในสิบปี
เราได้วิเคราะห์จุดคุ้มทุนของ EV รุ่น MG ZS และ MG ZS EV อย่างละเอียด และพบว่าต้องใช้งานประมาณ 10 ปี 3 เดือน (205,600 กม.) จึงจะถึงจุดคุ้มทุน ภายใต้สมมติฐานการบริโภคน้ำมันที่ 12 กม./ลิตร และราคาขายปลีก Gasohol 95 ที่ 26 บาท/ลิตรสำหรับ MG ZS และระยะเวลาชาร์จไฟ 6.5 ชั่วโมงสำหรับ ZS EV โดยที่อัตรา TOU ของ กฟน./กฟภ. ในช่วง off peak อยู่ที่ 2.6369 บาท/kWh แต่อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วน่าจะทำให้ถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกัน การใช้งานรถแท็กซีค่อนข้างสูง(400-500 กม. ต่อวัน) จะทำให้จุดคุ้มทุนของ EV เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ของ ASEAN ให้ได้ภายในห้าปี
เรือไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า และระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าจะช่วยหนุนอุปสงค์แบตเตอรี่
EA มีแผนจะเปิดบริการเรือไฟฟ้าในเดือนสิงหาคม 2563 (20 ลำ) โดยคาดว่าการลงทุนโครงการนี้ (1.3 พันล้านบาท) จะมีระยะเวลาคืนทุน 4-5 ปี นอกจากนี้ บริษัทยังได้เข้าซื้อหุ้น 40% ใน NEX Point (NEX.BK/NEX TB) ด้วย เรามองบวกกับการลงทุนดังกล่าวเพราะ NEX มีความเชี่ยวชาญในการประกอบและจัดจำหน่ายรถโดยสาร และยังมีโอกาสเติบโตอีกจาก Beli Services ซึ่งให้บริการซ่อมบำรุงรถเมล์ NGV 500 คัน นอกจากนี้ NEX ยังมีโอกาสเข้าร่วมประมูลโครงการรถเมล์ ขสมก. (รถเมล์ไฟฟ้า 2,511 คัน) ในขณะที่โรงงานแบตเตอรี่ Amita Thailand ก็มีโอกาสได้เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถเมล์ไฟฟ้า ส่วนธุรกิจระบบจัดเก็บไฟฟ้า (energy storage system หรือ ESS) ก็มีโอกาสเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของ microgrid solutions ในประเทศไทย และกลุ่มประเทศ CLM(กัมพูชา, ลาว และพม่า) เราคาดว่าอุปสงค์จาก EV รถโดยสารไฟฟ้า และเรือไฟฟ้า จะคิดเป็นประมาณ 30-50% ของอัตราการใช้งานเฟสแรกของกำลังการผลิตแบตเตอรี่เฟสแรก
Valuation & action
เราเชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนมูลค่าของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ (5-6GWh) ไปบางส่วนแล้ว ซึ่งก็สอดคล้องกับมุมมองของผู้บริหารว่าบริษัทสามารถจะขยายกำลกังการผลิตจาก 1GWh เป็น 5GWh ได้ภายในห้าปีข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าอุตสาหกรรม EV ของไทยพัฒนาได้เร็วเกินคาดก็จะทำให้อุปสงค์ของแบตเตอรี่มีโอกาสเติบโตได้อีกอย่างมาก
Risks
การนำเข้า EV และแบตเตอรรี่จากประเทศจีน,solar adder หมดอายุลงในปี 2565-2569
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web