- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 08 July 2020 18:44
- Hits: 4970
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 8-7-2020
“ปรับฐาน หลังขึ้นมาแรง เช้านี้หุ้นเพื่อนบ้านรีบาวด์”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้ มีแรงขายช่วงบ่ายตามต่างประเทศ ปิด +0.95 จุด ที่ 1373.22 จุด มูลค่าซื้อขาย 82 พันลบ.ดัชนีฯบวกแคบต่างจากตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่ปรับลง ซึ่งบวกไปก่อนหน้าตอนไทยหยุด ดัชนีไปทำยอดไฮถึง 1391.77 จุด รับข่าวเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวเร็ว และดัชนีภาคบริการสหรัฐเพิ่ม แต่ช่วงบ่ายทั้งตลาดยุโรปและDJ ฟิวเจอร์สปรับลง จึงขายลดเสี่ยงไว้ก่อน ซื้อสุทธิมาก-ต่างชาติ ขายสุทธิมาก-รายย่อย YTD ต่างชาติขายสุทธิ 218 พันลบ.
# ปัจจัยและกลยุทธ์:
SET มีโอกาสไซด์เวย์ หลับปรับขึ้นมาแรง ต่างประเทศไม่ถึงกับแย่ แต่ผู้ติดเชื้อสูง ปัจจัยบวกคือ ผลสำรวจการเปิดรับสมัครงาน พ.ค.ดีขึ้น เช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านรีบาวด์ ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สพลิกบวก ส่วนไทย-ดัชนีความเชื่อมั่น FETCO 3 เดือนข้างหน้าจาก มิ.ย. +4% ทรงตัวเท่าครั้งก่อน ด้านปัจจัยลบคือ คณะทำงานทรัมป์อยากให้จำกัดวงเงินเยียวยาโควิด-19 เฟดยังเป็นกังวลต่ออัตราว่างงานและเศรษฐกิจหลังมีผู้ติดเชื้อสูงมาก ทั่วโลกตอนนี้มากกว่า 11.8 ล้านราย เฉพาะสหรัฐ 3 ล้านราย ดาวโจนส์ -397 จุด น้ำมันปรับลงเล็กน้อย รอดูตัวเลขสต็อก เข้าหาทองคำบวกไปถึง 16 เหรียญ ไทย-สภาผู้ส่งออกปรับลดส่งออกปีนี้ลบมากขึ้นเป็น 10% และหนี้ครัวเรือนไทยมีโอกาสเพิ่มไปถึง 88-90% จาก GDP ปี 63 กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบเมื่อปรับลง คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1350-1400 วันนี้ปัจจัยต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ทรงๆ ยกเว้นเรื่องผู้ติดเชื้อ ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยยังย่ำแย่ แต่มีสัญญาณการผลิต-บริการ จ้างงานดีขึ้น หลังคลายล็อกดาวน์จึงแนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดีที่แนะนำซื้อ หุ้นกลุ่มการแพทย์เข้าไฮซีซัน- BCH,BDMS,CHG,RJH,RPH หุ้น Defensive- ADVANC,CHG ปันผลสูง-KKP,TISCO,LH เติบโต-ฟื้นตัว- MTC,DELTA,TASCO กลุ่มพาณิชย์เด่นจากการคลายล็อกดาวน์ เพิ่มระยะเวลาปิดห้างฯ- CPALL,HMPRO ราคาเนื้อสัตว์ดี- CPFขนส่ง- หุ้นกลับมาฟื้นตัวเร็ว BEM,BTS หุ้นกลุ่ม REITs & IFFs ปันผลสูง ดอกเบี้ยในตลาดต่ำ- DIF,AIMIRT,HREIT ติดตามหุ้นพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น แนวรับคือ 1350-1300 จุด และ แนวต้าน 1380-1400 จุด ส่วนตัดขาดทุนต่ำกว่า 1360 จุด ปัจจัยที่น่าติดตาม คือ หลังเชิญ CPF และ OSP มาโรดโชว์ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งมาก แนะนำ ซื้อ และวันนี้ปรับราคาพื้นฐาน AP เพิ่มเป็น 7.20 บาท ยังแนะนำ ซื้อ เช่นกัน
# Stock Pick Today : RJH ปีนี้กำไรโตได้แม้มีโควิด-19 กำไรสุทธิ 2Q63F ไม่ได้ย่ำแย่มาก เพราะจำนวนคนไข้เริ่มฟื้นตัวในเดือนพ.ค.63 และดีขึ้นในเดือนมิ.ย.63 คาดกำไรสุทธิปี 63F +2%YoY ดีกว่าจีดีพีไทยที่ติดลบ เพราะโรงพยาบาลรับตรวจโควิด-19 รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 28 บาท คาดกำไรสุทธิปี 64F โต+15% ซึ่งมาจากจำนวนคนไข้เพิ่มขึ้น และการเปิดศูนย์เฉพาะด้านใน 4Q63F ฐานะการเงินแข็งแกร่ง เป็นเงินสดสุทธิ และ Valuation จูงใจ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: สั้น...ภาพยังเป็นบวกเล็กๆ อาจมีรีบาวด์...แต่ยังให้น้ำหนักกับการลงในระยะกลาง ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators ยังพอเหลือสถานะเป็นบวกเล็กๆ {“ปิดบวกเล็กๆ”เหนือ“SMA10วัน” (โดย“ติด”แนวต้านสำคัญ และมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(มี“SMA10”หนุน) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1380 (หรือ 1390 – 1400) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1360”(แนวรับย่อย “1350 – 1330 / 1300” จุด)} Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : AP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 7.20)
LPN (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 3.60)
Flash Note : AEONTS (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 160.00)
CPF (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 41.00)
OSP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 48.00)
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐ: คณะทำงานทรัมป์ ต้องการให้สภาคองเกรสจำกัดวงเงินในมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19
# ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่นายมาร์ค ชอร์ท ผู้ช่วยของนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐเปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการให้สภาคองเกรสจำกัดวงเงินในมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่เอาไว้ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือน้อยกว่านั้น
# เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวได้ส่งสัญญาณการควบคุมวงเงินในมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 แม้ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐพุ่งขึ้นทะลุหลัก 3 ล้านรายแล้ว ขณะที่รัฐแอริโซา แคลิฟอร์เนีย เท็กซัส และรัฐอื่นๆของสหรัฐต่างก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- สหรัฐ: เฟดแสดงมุมมองเป็นลบเรื่องอัตราการว่างงาน และเศรษฐกิจ
# ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการแสดงมุมมองในด้านลบของเจ้าหน้าที่เฟด โดยนางแมรี ดาลีย์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก และนายโธมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ต่างก็มีความเห็นในทางเดียวกันว่า แม้อัตราว่างงานของสหรัฐปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 11.1% ในเดือนมิ.ย. แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก และเฟดยังคงต้องดำเนินการเพื่อทำให้อัตราว่างงานปรับตัวลดลงอีก ขณะที่นายราฟาเอล บอสติค ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา เตือนว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
+ สหรัฐ: ผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน พ.ค.เพิ่มขึ้น
# สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน(JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้น 401,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ5.4 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. ขณะที่อัตราการเปิดรับสมัครงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.9% จากระดับ 3.7% ในเดือนเม.ย.
- สหรัฐ: จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นมาก
# Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 11,769,523 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 541,488 ราย
# สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (3,041,129) รองลงมาคือบราซิล (1,626,071), อินเดีย (722,007),รัสเซีย (694,230), เปรู (305,703) และสเปน (298,869)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดร่วง 396.85 จุด จากแรงขายทำกำไร,วิตกโควิดฉุดศก.ซบ
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 400 จุดเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนไม่มั่นใจในมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ รวมทั้งการแสดงความเห็นในด้านลบจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
- น้ำมัน: WTI ปิดลบเล็กน้อย นักลงทุนจับตาสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) จากความกังวลที่ว่า การแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเนื่องจากตลาดได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา
• ทองคำ: ปิดพุ่ง $16.40 เหตุวิตกโควิดหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 ปีเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 หลังจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากไวรัสดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในสหรัฐและทั่วโลก
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค. และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 4% หวังศก.ในประเทศฟื้น
# นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCOInvestor Confidence Index) ประจำเดือนกรกฎาคม 2563 ว่า "ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น4% อยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเหมือนเดือนก่อน นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุดรองลงมาคือนโยบายภาครัฐ และการไหลเข้าออกของเงินทุน อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสสองเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือการไหลเข้าออกของเงินทุน และนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงยังคงกังวลกับการระบาดรอบสองของ COVID-19"
- สภาผู้ส่งออก ปรับลดคาดการณ์ส่งออกในปีนี้หดตัว -10%
# ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก ปรับลดคาดการณ์ส่งออกในปีนี้หดตัว -10% จากเดิมหดตัว -8% เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ตลาดส่งออกในหลายประเทศล็อกดาวน์ และปัญหาเงินบาทแข็งค่า หลังจากภาพรวมช่วงเดือนม.ค.- พ.ค. 63 ไทยส่งออกรวมมูลค่า 97,898ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว -3.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
-หนี้ครัวเรือนของไทยมีแนวโน้มเพิ่มมาที่กรอบถึง 88-90% เมื่อเทียบกับจีดีพีในปี 2563
# ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้หนี้ครัวเรือนของไทยมีแนวโน้มขยับขึ้นมาอยู่ที่กรอบ 88-90% เมื่อเทียบกับจีดีพีในปี 2563เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยจากผลกระทบของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบกับผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการพักชำระหนี้ ส่งผลทำให้ระดับหนี้ไม่ลดลงมากตามภาพเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web