WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 1-7-2020May

กลยุทธ์การลงทุนรายวัน

วานนี้ SET ปรับตัวขึ้น ตอบรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากทั้งฝั่งสหรัฐฯ และจีน โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,339.03 (+9.27 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 5.9 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 4.9 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 1,174 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 3,511 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 1,655 สัญญา)

STA (ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 30.0 บาท) แรงหนุนเชิงบวกจากการปลดล็อก บ.ลูกที่ทำธุรกิจถุงมือยาง (STA ถือ 51%) เข้ามาเทรดวันพรุ่งนี้ ซึ่งแนวโน้มกำไรจะเร่งขึ้นเด่นในช่วง 2 ปีนี้ เป็นแรงหนุนให้มูลค่าของ STA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เศรษฐกิจไทยเดือน พฤษภาคมอ่อนแอ แต่ก็เป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้แล้ว : วานนี้ ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน พฤษภาคม พบว่ายังคงหดตัวสูงต่อเนื่อง โดยอาจแบ่งพิจารณาได้ดังนี้ 1) การบริโภคเอกชน หดตัวมากตามปัจจัยสนับสนุนกำลังซื้อที่อ่อนแอ แม้จะมีจังหวะฟื้นตัวหลังคลาย Lockdown และได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ 2) การลงทุนภาคเอกชน หดตัวสูง จากความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่อ่อนแอ โดยดัชนี Private Investment Index (PII) เดือนพ.ค. -12.5%YoY 3) การใช้จ่ายภาครัฐ ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวเดียวที่ฟื้นตัวได้ จากรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลกลาง +8.1%YoY แต่รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ -11.2%YoY 4) การส่งออก & ท่องเที่ยว ยังหดตัวแรง โดยการส่งออกเดือนพ.ค. (ไม่รวมทองคำ) -29%YoY ตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่อ่อนแอ (หดตัวในเกือบทุกหมวดสินค้า และเกือบทุกตลาดสำคัญ) ส่วนด้านท่องเที่ยว ซบเซาอย่างมากเป็นผลจากการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศของไทย โดยสรุปจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือน พ.ค.ที่อ่อนแอ เราจึงได้มีการปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้ลงสู่ระดับ -7.3% จาก -5.5% แต่ปีหน้าจะขยับขึ้นเป็น +4.5% จาก +3.4% ซึ่งสำหรับตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าว เราเชื่อว่าจะไม่ได้มีผลกับตลาดหุ้น เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ตลาดได้ซีมซับไปในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นหากมีจังหวะตลาดปรับฐานยังประเมินเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดี กำไรฟื้นตัว

Investment Strategy :

วันนี้คาด SET ฟื้นตัว ในกรอบแนวรับ 1,315 ต้าน 1,350 จุด เน้นหุ้นที่มีสตอรี่บวก โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “STA, BEM, PTTGC”

กลยุทธ์การลงทุน

มีหุ้น : ยังสามารถถือต่อได้ รอทยอยทำกำไรที่บริเวณแนวต้าน 1350/1360 จุด

ไม่มีหุ้น : หาจังหวะเก็งกำไรที่บริเวณแนวรับ 1325-1330 จุด

สแกน CPN-SF รับทรัพย์ เปิดห้างถึง 4 ทุ่มดันยอด (ทันหุ้น)

ความเห็น : การขยายเวลาเปิดศูนย์การค้าคาดว่าจะทำให้จำนวนลูกค้า CPN เพิ่มขึ้น หลังจากการคลายล็อกดาวน์เมื่อ 17 พ.ค. มีลูกค้า 40-60% ของจำนวนลูกค้าปกติ และเพิ่มเป็น 60-70% ในเดือน มิ.ย. (ยกเว้นสาขาที่อยู่ใน Tourist area ลูกค้าประมาณ 50-55%) อย่างไรก็ดี CPN ให้ส่วนลดค่าเช่า 10-50% ทำให้คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปใน 3Q63 แนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 66 บาท

TPIPP จ่อคิวประมูล โครงการไฟฟ้าขยะ ตุนพอร์ตกำลังผลิต (ทันหุ้น)

ความเห็น : โรงไฟฟ้าปัจจุบันที่ขายไฟให้ กฟผ. และ ได้ adder 3.5 บาท 7 ปี จะหมดอายุปี 2565 จำนวน 73MW และ หมดอายุปี 2568 จำนวน 90MW ปัจจุบันกำลังหาโครงการใหม่เพื่อช่วยหนุนกำไร แต่การแข่งขันจะสูง นอกจากนี้ยังมีโครงการขนาดใหญ่ Southern Seaboard ที่ อำเภอ จะนะ จังหวัดสงขลา กำลังรอความชัดเจนของ ศอ.บต. เราคงแนะนำ ซื้อ รับปันผล เป้าหมาย 5 บาท

'ลีสซิ่ง' รับมือหนี้เสียโตกระโดด สินเชื่อรถร่วงหนัก-รีเจ็กต์เรตพุ่ง (ประชาชาติธุรกิจ)

ความเห็น : เรามองเป็นบวกต่อ

JMT ที่มีโอกาสซื้อหนี้เสียเข้าพอร์ตได้มากกว่าเป้าที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นราว 25% จากพอร์ตปัจจุบันที่คิดเป็นเงินลงทุนราว 13,000 ลบ. จะสนับสนุนการเติบโตของเงินสดเรียกเก็บปีหน้า +25-30%YoY ภายหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินได้ แม้ราคาปัจจุบันจะสูงกว่าราคาเหมาะสมที่ 21.60 บาท/หุ้น หากกำไรปีหน้ายังขยายตัวได้ 20%YoY ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ปี 2564 จะเท่ากับ 25 บาท อิง P/E 20 เท่า ใช้เป็นกรอบเก็งกำไร

Sri Trang Gloves (Thailand) (STGT)

แนวโน้มไปได้ไกล

Initiation กำไรเด่น ทุนพร้อม ทำเลใช่ ผู้เล่นใหม่เกิดยาก แนะนำ ซื้อลงทุน

อนาคตของ STGT ไม่ได้มีเพียงประเด็นของการได้ประโยชน์จากสถานะการณ์ COVID-19 ที่จะดันให้กำไรปี 2563 ขยายตัวแรง 5 เท่าตัว แต่เรามองไปไกลกว่าว่า ผู้ผลิตถุงมือยังอันดับ 3 ของโลกรายนี้ กำลังจะพร้อมแล้วที่จะขึ้นไปท้าท้ายผู้เล่นระดับโลกด้านบน ด้วยความได้เปรียบในเชิงตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทย และการสนับสนุนอย่างดีจาก STA ผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก ราคาเหมาะสม 56.00 บาท/ หุ้น อิง P/E เฉลี่ยกลุ่มก่อน COVID-19 แพร่ระบาดรุนแรงที่ 21.2 เท่า

อยู่ในตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบ มีโอกาสจะไต่อันดับโลกสูงขึ้นไปอีก

เพราะนอกจาก STGT จะได้รับการหนุนหลังจาก STA ซึ่งเป็นผู้ส่งออกยางพาราส่วนแบ่งอันดับ 1 ของโลกแล้ว การตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำยางธรรมชาติเข้มข้น (Concentrated latex) รายใหญ่ของโลก ส่วนแบ่ง 73% ทำให้ STGT ปิดความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลนวัตถุดิบได้เบ็ดเสร็จ เหนือกว่าคู่แข่งรายใหญ่อีก 4 แห่งที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำยางข้นจากไทย ขณะที่เงินจากการ IPO 1.5 หมื่น ลบ. ก็เพียงพอขยายกำลังการผลิตอีก 1 เท่าตัวใน 5-6 ปีข้างหน้าแล้ว ดังนั้นแผนการเติบโตระยะยาวในอุตสาหกรรมที่ผู้เล่นใหม่เกิดยาก (High barrier to entry) ด้วยแผนการเจาะตลาดในประเทศกำลังพัฒนา ที่ยังมีจำนวนการใช้ถุงมือยางต่ำเพียง 4-10 ชิ้น/คน/ ปี (ตย. จีน) เทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วที่ 100-150 ชิ้น/คน/ ปี เราจึงมองว่ามีความเป็นไปได้

กำไรคาดเติบโต 4 เท่าตัวปีนี้ และ มูลค่าเหมาะสมแบบอนุรักษ์นิยม

คาด STGT จะมีกำไรสุทธิปี 2563 เป็นสถิติ 3.2 พัน ลบ. เพิ่ม 5 เท่าจากปีก่อน ผลักดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าต้นปี +20% และ ราคาขายเฉลี่ยคาดเพิ่ม +15% YoY จากภาวะขาดแคลนถุงมือยางทั่วโลกปีนี้ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาด COVID-19 โดยอัตรากำไรขั้นต้น คาดพุ่งจาก 12.0% เป็น 25.7% โดยไตรมาส 1/63 ช่วงต้นของการระบาด ก็เริ่มไต่ขึ้นแล้วที่ 18.8% ซึ่งเมื่อใช้ Forward P/E เฉลี่ย 21.2 เท่า ของผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้ง 4 ของมาเลเซียในช่วงก่อน COVID-19 ระบาดรุนแรงเป็นจุดอ้างอิงเพื่อความอนุรักษ์นิยม บน EPS 2.68 บาท/ หุ้น (หุ้นถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 1,212 ล้านหุ้น) จะได้ราคาเหมาะสม 56.00 บาท

ความเสี่ยง

ราคาน้ำยางข้น, ค่าเงินบาท-ริงกิต (การแข่งขันกับ 4 คู่แข่งมาเลเซีย) และ บาท-สหรัฐ (อัตรากำไร) ขณะที่การคิดค้นวัคซีนป้องกัน COVID-19 อาจส่งผลต่อราคาถุงมือยางลดลง (คาดหด 12% ในปี 2565) แต่ปริมาณความต้องการ คาดจะยังขยายตัวได้ต่อในปี 2564 จากพฤติกรรม new normal, การสะสมสต๊อกให้กลับมาในระดับเดิม และ กระแสการหันมาใช้ถุงมือยางทดแทนถุงมือประเภทไวนิล

การประเมินมูลค่า

เริ่มต้นคำแนะนำ ซื้อราคาเหมาะสมปีนี้ 56.00 บาท/ หุ้น : เรานำ STGT เปรียบกับผู้ผลิตถุงมือยางระดับโลกทั้ง 4 ราย พบว่า

  • อัตรากำไร (GPM และ EBITDA margin) ของ STGT น้อยกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย 540bps เนื่องจาก STGT มีสัดส่วนรับจ้างผลิต (OEM) ที่สูงกว่า 85% ของยอดขายรวม ทำให้อัตรากำไรน้อยกว่าบริษัทที่เน้นพัฒนาและขายแบรนด์ของตัวเอง
  • แต่ EPS growth 20F ของ STGT มีแนวโน้มทำได้ดีกว่า เราคาด +253% YoY เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่ม +47% YoY (21F) เนื่องจากฐานกำไรที่ต่ำในปี 2562 และมีการบริหารต้นทุนน้ำยางข้นที่ดีกว่า อีกทั้งมีการขยายกำลังการผลิต 22% ในต้นปี 2563
  • • ROE อาจด้อยกว่า เนื่องจากการ IPO ขนาดใหญ่ 1.5 หมื่นล้านบาท ทำให้เกิด dilution effect ในระยะแรก
  • อ้างอิงจากนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไร ดังนั้น ณ ราคาเสนอขาย จะให้ dividend yield ที่ 2.6% ใกล้เคียงกับกลุ่ม

ดังนั้น ด้วยความที่ STGT มีโครงสร้างในการทำธุรกิจเกาะกลุ่มไปกับยักษ์ใหญ่การผลิตถุงมือยางของโลก โดยมีกำลังการผลิตอยู่ในลำดับที่ 3 ขณะที่อัตรากำไรอยู่ในโซนใกล้เคียงกัน แต่จะโดดเด่นในแง่การเติบโต ดังนั้นการใช้ค่าเฉลี่ยกลุ่มในการประเมินมูลค่านั้น เราจึงมองว่าสามารถกระทำได้ ซึ่งเหตุการณ์สำคัญเชิงบวกในปีนี้คือ COVID-19 แต่ก็มีโอกาสจะสิ้นสุดได้ในอนาคต ดังนั้นเพื่อความอนุรักษ์นิยม เราใช้ค่า P/E เฉลี่ยของผู้ประกอบการทั้ง 4 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดที่ 21.2 เท่า เป็นฐานอ้างอิง และเมื่อพิจารณาร่วมกับ EPS20F ของ STGT ที่ 2.68 บาท/ หุ้น ราคาเหมาะสมปี 2563 จะอยู่ที่ 56.00 บาท/ หุ้น มี upside จากราคาจอง 65%

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!