- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 30 June 2020 12:52
- Hits: 7209
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 30-6-2020
MARKET TALK
กลยุทธ์การลงทุน
กระแส Covid-19 และ Trade War ปกคลุมตลาดหุ้นโลก ซึ่งดูเหมือนวันนี้ถูกตีความในทางบวก แต่ก็มีโอกาสที่จะพลิกผันได้ตลอดเวลา ส่วน SET Index มีโอกาสดีดขึ้น แต่ไม่น่าผ่านบริเวณ 1340-1350 จุด ขึ้นไปได้ แนะนำปรับพอร์ต โดยให้นำเงินที่พักไว้ใน DIF ออกมาลงทุนเพิ่มใน SEAFCO และ INSET พร้อมกับเลือกทั้ง 2 บริษัท เป็นหุ้น Top Pick
ขับเคลื่อนด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน … SEAFCO + INSET
ทิศทางของตลาดหุ้นสำคัญในต่างประเทศ ยังผันผวนไปตามกระแสเรื่อง Covid-19 และ พัฒนาการของ Trade War ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับในประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังจากที่สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ในประเทศคลี่คลาย ทั้งนี้เป็นการดำเนินการผ่านมาตรการผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาอยู่ในภาวะที่ใกล้เคียงปกติมากที่สุด อีกทางหนึ่งก็เป็นเรื่องของการจัดหามาตรการกระตุ้น โดยจากนี้ไปฝ่ายวิจัยเชื่อว่าน่าจะเห็นการใช้องค์ประกอบเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ซึ่งมีทั้งในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลอย่างรถไฟฟ้าสายสีส้ม และการลงทุนในโครงข่ายโทรคมนาคมของภาคเอกชนเพื่อเข้าสู่ยุค 5G ซึ่งหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้น่าจะได้รับประโยชน์ สำหรับทิศทางของ SET Index วันนี้น่าจะมีทิศทางแกว่งขึ้น แต่ไม่น่าจะผ่านแนวต้านบริเวณ 1340 – 1350 จุดขึ้นไปได้ ส่วนพอร์ตการลงทุนจำลอง แนะนำให้ปรับ โดยนำเงินที่พักไว้ใน DIF ซึ่งยังเหลืออยู่ 10% เข้ามาลงทุนเพิ่มน้ำหนักใน SEAFCO และ INSET อย่างละ 5% ส่วนหุ้น Top Pick เลือก INSET และ SEAFCO
ต่างประเทศ ประเด็นยังวนอยู่กับเรื่อง Covid-19 และ Trade War
ตลาดหุ้นโลกผันผวนสูง ล่าสุดเมื่อคืนตลาดหุ้นกลับมาปิดบวก โดยมีปัจจัยหนุนจากตัวเลขเศรษฐสหรัฐ Pending home sales เดือน พ.ค. ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด คือ + 44% และทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และประเด็นความคืบหน้ายารักษา COVid-19 ของบริษัท Gilead อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่พร้อมทำให้ตลาดถูดก Take profit คือ
ความกังวล COVID-19 ที่ล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 150,364 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกสูงถึง 10,269,519 ล้านราย กระตุ้นความกังวลว่า บางประเทศอาจดำเนินมาตรการ Lockdown อีกครั้งหนึ่งได้
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยังมีอยู่ ภายหลังวานนี้ จีนประกาศระงับวีซ่าพลเมืองสหรัฐที่ขัดขวางการผ่านกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง เพื่อตอบโต้กรณีสหรัฐพิจารณาจำกัดการให้วีซ่าสหรัฐ แก่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง เมื่อช่วงปลายสัดาห์ที่ผ่านมา เพราะกังวลว่าร่างกฎหมายดังกล่าวอาจทำให้ความเป็นอิสระของฮ่องกงลดลง ประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอาจกลับมาอีกครั้งหนึ่งได้
ทั้งนี้ ASPS ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่สงครามการค้าอาจกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เนื่องจากจะเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย. 2563 ซึ่งเมื่อพิจารณา Poll สำรวจคะแนนนิยม พบว่าพรรค Republican (พรรคของประธานาธิบดีทรัมป์) มีคะแนนน้อยกว่าพรรค Democratic (มีนาย Joe Biden เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนสำคัญ) (ดังรูป)
และหากพิจารณานโยบายของผู้สมัครสำคัญทั้ง 2 ท่าน (ดังตาราง) จะพบว่าทั้ง 2 ท่านมีมุมองที่สอดคล้องกันในด้านการค้าระหว่างประเทศ กล่าวคือ นาย Joe Biden มองว่าจีนมีนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ เช่นเดียวกับประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ประเด็นสงครามการค้าน่าจะยังคงมีอยู่ ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
อย่างไรก็ตาม นาย Joe Biden มีมุมมองด้านนโยบายเศรษฐกิจที่ต่างกับประธานาธิบดีทรัมป์ใน 2 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
- ค่าจ้างขั้นต่ำ: Biden หนุนการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 เหรียญ/ชม. จากปัจจุบัน 7.25 เหรียญ/ชม. ขณะที่ทรัปม์ไม่เห็นด้วย
- ภาษี: Biden ผลักดันการปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคลจากปัจจุบัน 21% เป็น 28% สวนทางกับทรัปม์ที่ต้องการปรับลดภาษีต่ำกว่าระดับปัจจุบันที่ 21%
ประเด็นการหาเสียงที่เริ่มมีแนวโน้มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นโลกในระยะต่อไปได้ โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีของ Joe Biden ซึ่งอาจทำให้กำรไของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐลดลงได้
ในประเทศเป็นเรื่องมาตรการคลาย lock และ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
หลังจากสถานการณ์ Covid-19 ไทยดีขึ้นมาก สวนทางกับต่างชาติ คือ ไทยไร้ผู้ติดเชื้อในประเทศติดต่อกัน 35 วัน หนุนให้รัฐบาลเดินหน้าผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจต่อเนื่อง ล่าสุด วานนี้
ศบค. ให้รายละเอียดการผ่อนคลายธุรกิจ (Reopen) เฟส 5 อาทิ ผับ, บาร์ อาบอบนวด, คาราโอเกะฯลฯ แต่มีรายละเอียดจำกัด ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดก่อนหน้า ASPS ประเมินดีต่อเศรษฐกิจไทยในงวด 3Q63
สำนักงานการบินพลเรือนไทย (กพท.) ได้ลงนามประกาศอนุญาตให้ต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ แต่เป็นกลุ่มเฉพาะ มิใช่นักท่องเที่ยว คือ หลักๆ 1.) ผู้ป่วยต่างชาติเข้าประเทศ ประเมินเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มฯโรงพยาบาล ที่มีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ Fly-in สูง คือ BH, BDMS, PR9 และ BCH ซึ่งอยู่ที่ 56%, 15%, 9% และ 8% ของรายได้ ตามลำดับ 2.) กลุ่มนักธุรกิจและมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค กำหนดไม่เกิน 200 คนต่อวัน โดยประเทศเป้าหมาย คือ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน ฮ่องกง และสิงค์โปร ประเมินเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่ม AMATA(FV@B>35.70), WHA(FV@B>4.89) มีลูกค้าจีน/ญี่ปุ่นรอซื้อที่ดินจำนวนมาก ขณะที่ FPT (FV@B>16.90) เป็นทางเลือกลูกค้าที่ต้องการเช่าพื้นที่ลงทุนด้านอุตสาหกรรม
คาดหวังแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ ยังชอบ SEAFCO , INSET
ความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณของ พ.ร.ก. กระตุ้นเศรษฐกิจ
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาใหญ่ อาทิ CK, STEC และกลุ่มรับเหมางานฐานราก โดยฝ่ายวิจัยชื่นชอบ SEAFCO(FV@B>8.2) โดย จุดเด่นพื้นฐาน คือ ล่าสุด การประกาศได้งานเสาเข็มใหม่ 3 โครงการ อาทิ รพ.จุฬาภรณ์ แจ้งวัฒนะ, โครงการปรับปรุงห้างเซ็นทรัล พลาซ่า พระราม 2, และ ห้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี(ส่วนต่อขยาย) มูลค่า 800 ล้านบาท หนุน Backlog ขึ้นทำจุดสูงสุดรอบ 7 ไตรมาส ราคาหุ้นยังน่าสนใจ PER เพียงแค่ 9.9x และ Div.Yield สูง 4.85% มี Upside เปิดกว้าง 46%
มิใช่แค่กระแสกระแสงานประมูลโครงสร้างพื้นฐาน แต่กระแสการประมูลในส่วนงานโทรคมนาคม เริ่มทยอยกลับมาเช่นกัน จากการรวบรวมของฝ่ายวิจัยในกลุ่มที่แจ้งรับงานใหม่ผ่านระบบตลาดฯ (ITEL, ICN, ALT) พบว่า ในส่วน ICN, ITEL งวด 2Q63 มีการประกาศรับงานใหม่ต่อเนื่อง ดีขึ้นชัดเจนจากงวด 1Q63 ซึ่งไม่มีงานใหม่เลย โดยฝ่ายวิจัยชอบ INSET(FV@B>4.18) ล่าสุด ประกาศรับงานใหม่มูลค่า 339 ล้านบาท หนุน backlog เพิ่มสู่ระดับ 2.3พันล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนที่ส่งมอบใน 9M63 คิดราว 70% ของรายได้ส่วนที่ต้องรับรู้ 1.2 พันล้านบาท ในช่วง 9M63 เพื่อให้เป็นไปเป้าหมายรายได้ช่วงที่เหลือปีที่ 1.4 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือยังคาดหวังได้งานใหม่ในอุตสาหกรรมที่ทยอยออกมาต่อเนื่องหลัง covid-19 จากพันธมิตรหลายรายทั้งรัฐและ subcontract ต่อจากเอกชนรายอื่น ภาพรวมคาดกำไรปี 2563 เติบโต 22%yoy โดยราคาหุ้นปัจจุบันเด่นที่ซื้อขาย PER 63 ที่ 11.6 เท่า ต่ำกว่ากลุ่ม (itel, alt) ที่ซื้อขาย 24.5 เท่า
ความเสี่ยงปรับประมาณการกำไรลง & กลยุทธ์เดือน ก.ค.
- ทาง Consensus ยังคงทยอยปรับประมาณการกำไรลงมาต่อเนื่อง จนล่าสุดอยู่ที่ 65.38 บาท/หุ้น อยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินในช่วงก่อนหน้าที่ 64 บาท/หุ้น
- ฝ่ายวิจัย ASPS ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับประมาณการกำไรลงอีก เนื่องจากภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรกอยู่ในระดับเพียง 30 -40% ของประมาณการปี 2563 ประกอบด้วย กำไรงวด 1Q63 อยู่ที่ 1.06 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% ของประมาณการกำไรทั้งปี ขณะที่กำไรงวด 2Q63 แม้จะได้แรงหนุนจาก Fx Gain และ Stock Gain ของกลุ่มพลังงาน แต่ถูกกดดันจากกำไร Real Sector น่าจะลดลงอย่างมีนัยฯ ส่งผลให้กำไรมีโอกาสอาจจะไม่ได้ลดลง QoQ แต่ลดลง YoY ซึ่งคาดว่ามีสัดส่วนไม่ถึง 25% ของประมาณการกำไรทั้งปี เมื่อนำทั้ง 2 ส่วนมารวมกันแสดงว่าช่วงครึ่งปีแรกบริษัทจดทะเบียนอาจทำกำไรได้เพียง 30 -40% ของประมาณการปี 2563 ที่ฝ่ายวิจัยประเมิน 6.88 แสนล้านบาท (EPS63F เท่ากับ 64 บาท/หุ้น) แสดงว่าในช่วงที่เหลือของปี บริษัทจดทะเบียนจะต้องทำกำไรเกินกว่า 60 - 70% ของประมาณการ
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web