WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 25-6-2020บล.เออีซี2 420x280

AECS Daily Focus

Market Outlook

วันนี้คาด SET Index ปรับตัวลงตามภูมิภาคหลังเผชิญปัจจัยลบกดดันรอบด้าน ทั้งประเด็น 1)ความไม่แน่นอนการขึ้นภาษีศุลกากรรอบใหม่ของสหรัฐฯ ต่อสินค้าฝั่งยูโรโซน 2) การปรับลดมุมมองเศรษฐกิจโลกจาก IMF และการปรับลดประมาณการ GDP ปี63 ของแบงก์ชาติ นอกจากนี้ยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯยังเร่งตัวต่อเนื่อง ประเมินการเคลื่อนไหวดัชนีที่ 1,300-1,340 จุด

Market Factor

  • •   (-) ตัวเลขผู้ติดเชื้อCOVID-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 172,997 ราย สูงขึ้นกว่าวันก่อนหน้าโดยบราซิลพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดคือ 40,995 ราย ขณะที่สหรัฐฯ ติดเชื้อเพิ่ม 39,000 ราย สูงกว่าวันก่อนหน้า โดยเพิ่มสูงขึ้นในรัฐแคลิฟอเนีย เท็กซัส และฟลอริดา ขณะที่ยังมีเคสรักษาไม่หายสะสมสูงถึง 1.28 ล้านราย เป็นปัจจัยกดดันตลาดจากความกังวลการระบาดระลอก 2 ทำให้ความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจลดลง
  • •   (-) IMF ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้ลงอีก โดยปรับลงจาก -3% เมื่อเดือน เม.ย. เป็น -4.9% คาดสหรัฐฯ -8% ยุโรป -10.2% ญี่ปุ่น -5.8% จีน 1% และไทย -7.7%(ต่ำสุดในอาเซียน) ขณะที่คาดการณ์หนี้สาธารณะต่อ GDP จะปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ หลังหลายประเทศออกมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างต่อเนื่อง
  • •   (-) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ลดลง 5.3% จากตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ 1.44 ล้านบาร์เรล สูงกว่าคาดการณ์ที่ 3 แสนบาร์เรล ขณะที่การผลิตน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับสูงกว่า 5 แสนบาร์เรล/วัน เป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน
  • •   (-) USTR เตรียมขึ้นภาษีต่อสินค้าจากกลุ่มยุโรป รวมถึงอังกฤษ มูลค่า 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมสินค้าเช่น เบียร์ ชิ้นส่วนเครื่องบิน ชีส โยเกิร์ต เป็นต้น สร้างแรงกดดันต่อการทำสงครามการค้าอีกครั้ง
  • •   (Watch) ปัจจัยที่ต้องติดตามวันนี้: เวลา 19.30 น. ตัวเลขคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ เดือน พ.ค. (คาดเพิ่มขึ้น 2.5%), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ (คาด 1.3 ล้านคน)
  • •     (-) กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย 0.5% แต่มีการปรีบลดประมาณการ GDP ปี 63 ลงเป็นติดลบ -8.1% จากเดิมที่คาดติดลบเพียง -5.3% และปรับลดการส่งออกปี 63 ติดลบ -10.3% จากเดิมคาดติดลบ -8.8% (กรุงเทพธุรกิจ)
  • •   (-) กระทรวงพาณิชย์ เผยภาวะการณ์ค้าไทย โดยยอดส่งออกเดือนพ.ค.63 มูลค่า 16,278 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบ 22.5%YoY สาเหตุจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ภาพรวมผู้บริโภคทั่วโลกมีกำลังซื้อลดลง ขณะที่ภาพรวมการส่งออกของไทยช่วง 5M63 มีมูลค่า 97,899 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบ 3.71%YoY (อินโฟเควสท์)
  • •   (+) โฆษก ศบค.เผย 5 กลุ่มต่างชาติ ได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจ แรงงานฝีมือ คนต่างด้าวที่มีครอบครัวไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในไทย บุคลากรทางการศึกษา และ Medical and wellness Tourism สามารถเดินทางเข้าไทยได้หลังตอบรับมาตรการ State Quarantine ส่วนกลุ่ม Travel Bubble ต้องรอสรุปมาตรการเพื่อบังคับใช้ช่วงเดือนส.ค.63นี้ ขณะที่พร้อมเตรียมผ่อนคลายเฟส 5 ให้กิจกรรม และกลุ่มกิจการความเสี่ยงสูงที่เหลืออยู่ ที่จะให้มีผล 1 ก.ค.นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
  • •   รายงาน สธ.ประจำวันที่ 24 มิ.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,157 ราย เสียชีวิตรวม 58 ราย
  • •   อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.90% (2.3%DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.30% (-2.3%DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.68% (-7.4% DoD)
  • •   ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 65.3 บ. หรือลดลง 35.9%YTD
  • •   Update Flow เมื่อวานที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 3,589.77 ลบ.ส่งผล MTD .ขายสุทธิที่ 17,609.51 ลบ. ขณะที่ นลท. สถาบันซื้อสุทธิ 1,154.19 ลบ.ส่งผล MTD. เป็นขายสุทธิอยู่ที่ 667.68 ลบ.

Investment Strategy

ช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้ เรามีมุมมองลบต่อ SET มีโอกาสปรับลงทดสอบแนวรับ1,300 จุด โดยแม้จะมีปัจจัยหนุนจาก 1) แรงหนุนด้านสภาพคล่องในตลาดจากมาตรการทางการเงินของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก 2) การปลดล็อกดาวน์เฟสที่ 4 เปิดให้กลุ่มธุรกิจเสี่ยงกลับมาดำเนินการได้ การยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิว และการออกมาตการฟื้นธุรกิจภาคท่องเที่ยว และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศต่อเนื่อง ให้เกิดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบบมากขึ้น แต่คาดถูกกลบด้วย 4 ปัจจัยลบ ดังนี้ 1) ความกังวลสถานการณ์การระบาด COVID-19 ระลอกที่ 2 ทั้งในสหรัฐฯ และจีนหลังมีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เร่งตัวขึ้น 2) ประเด็นการปรับลดมุมมองเศรษฐกิจโลกของ IMF มีแนวโน้มหดตัวรุนแรงและฟื้นตัวได้ช้า และ 3) การปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET จากข้อมูล Bloomberg Consensus อยู่ที่ 65.92 บ.ลดลง 35.35%YTD ส่งผลต่อ Valuation ตลาดที่ตึงตัว ณ ระดับดัชนี ปจบ.ที่เทรดอยู่ระดับ P/E 19.1X (สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 17.0X) 4) ที่ประชุม กนง.ครั้งที่ 4/63 มีมติคงอัตรา ดบ.ไว้ที่ 0.5% แต่ปรับลดประมาณการ GDP ปี 63 เป็น -8.1%(จากเดิมคาด -5.3%) นอกจากนี้ยังต้องติดตามประเด็นการปรับขึ้นภาษีศุลกากรใหม่ของฝั่งสหรัฐฯต่อประเทศยูโรโซน มูลค่ากว่า 3.1 พันล้านเหรียญฯ ประเมินกรอบเคลื่อนไหว 1,300-1,350 จุด ฉะนั้นแนะนำเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เล่นเทรดดิ้งตามกรอบเน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้

หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (แม้กำไรสุทธิ 1Q63 ทำได้ 24.6 ลบ.ชะลอตัว 3.4% YoY แต่ด้วยความเป็นผู้นำของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการ บ.มีศักยภาพสูง เดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 12.8X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 41.6X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน 68 เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พัน ลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.02X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 5.05%), SEAFCO (รายงาน 1Q63 กำไร 94.41 ลบ +11%QoQ และ -21.4YoY ) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL รายงานกำไร 1Q63 ที่ 5.64 พัน ลบ. (-2%YoY, -8%QoQ) ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ลูกค้าลดลง และมาตรฐาน บช.ใหม่เรื่องสัญญาเช่ามีต้นทุนเพิ่ม 308 ลบ. อย่างไรก็ดีรายได้รวมยังโต 5%YoY จากการเปิดสาขาใหม่ และรายได้ Banking agent ที่เติบโต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ MAKRO ที่ได้ประโยชน์จากช่วง COVID-19 ทั้งนี้การกลับมาผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐจะช่วยให้ 2H63 กำลังซื้อจะฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งการเข้าซื้อ TESCO LOTUS ในระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร

กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและ     ปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการ1Q63 กำไร 70.4 ลบ -15.3%QoQ และ-12%YoY จากรายได้ที่ลดลง 16.3%QoQ และ 12.7%YoY เนื่องจากผลกระทบ COVID-19 ทำให้ช่องทางขายหน้าร้านที่เป็นช่องทางขายหลักถูกปิดไปในช่วง 22/3/63 ตามคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้าของภาครัฐ อย่างไรก็ดียอดขายในส่วน NSR 99.8 ลบ +9%YoY ทำให้สัดส่วนขึ้นมาเป็น 15% ของยอดขายรวม รวมถึงช่องทางขาย Export +31.3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 52.9% จากการผลิตที่น้อยลง และการชะลอนำเข้าสินค้าจากจีน และ SG&A/Sales ลดลง 10%YoY จากการควบคุมต้นทุนภายในที่ทำได้รวดเร็วหลังเกิดสถานการณ์ COVID แนวโน้ม 2Q63มีโอกาสอ่อนตัวต่อ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการขายแบบ NSR เพื่อชดเชยการขายหลักที่ถูกปิดไปในช่วงเมษ-พค และคาดยอดขายจะเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2H63, SSP ช่วง 1Q63 มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 161.2 ลบ. โต 24.3%YoY ผบห.คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวม ปจบ.กว่า 160 MW.พร้อมวางแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ในเวียดนาม และเตรียมเข้าลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้า 400 MW.ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)

  • •  
  • •   Trading Idea
  • •   หุ้นที่คาดฟื้นตัวเด่นจากการคลาย Lock Down : เลือก BTSGIF โดยได้ปัจจัยหนุนโดยตรงจากการผ่อน Lock Down และการกลับมาเปิดภาคการเรียน 1 ก.ค.63 นี้ตามประกาศของกระทรวงศึกษาฯ หนุนยอดผู้โดยสารรวมฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ(ค่าเฉลี่ยรายเดือนปี 62 ที่ระดับ 20.6 ล้านเที่ยวคน) คาด Ridership ช่วงเดือน เม.ย.ที่ 3.5 ล้านเที่ยวคนเป็นจุดต่ำสุดแล้ว บวกกับจ่ายผลสม่ำเสมอ ให้ Div.Yield ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 6.7% นอกจากนี้ราคา ปจบ.มี Discount 18.7% จากราคาประเมิน NAV.ล่าสุดตามรายงาน ตลท.เมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ราคา 9.2273 บ./หน่วย

   24-Jun-20   Change (pts.)   23-Jun-20

SET Index   1,333.43   -23.00   1,356.43

SET50 Index   880.20   -17.12   897.32

SET100 Index   1,948.06   -37.36   1,985.42

High   1,365.46   Gainers   385

Low         1,333.32       Unchanged   259

Value (Bt m)   60,885.82   Losers   1,065

Volume (*000)   16,339,735        

Market Valuation

SET Data   2019F   2020F   Long Term

Fwd PER (x)   20.4   16.0   16.0

EPS Growth (%)   13.9   9.3   -20.5

EV/EBITDA (x)   12.9   11.2   10.3

FWD PBV (x)   1.5   1.4   1.4

Dividend Yield (%)   2.8   3.1   3.4

ROE   6.7   8.1   8.5

Net Buy/Sell by Investor Types

Unit : M Bt   24-Jun-20   WTD   MTD   YTD

Institution   1,154.19   (3,159.52)   (667.68)   66,918.41

Proprietary   (1,623.68)   (1,391.51)   2,988.82   459.31

Foreign     (3,589.37)   (7,468.49)   (17,609.48)   (211,538.59)

Individual   4,058.86   12,019.52   15,288.34   144,160.87

AECS ( Fundamental and Strategic Team )

ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932)   [email protected]

ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

ชัยรัตน์ คงสุนทร

สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

Data Support / Secretary

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!