- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 22 June 2020 11:48
- Hits: 3769
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 22-6-2020
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
เมื่อวันศุกร์ SET แกว่งกรอบแคบ มีแรงพยุงในกลุ่มอาหารและพลังงาน ขณะที่กลุ่มธนาคารยังมีแรงขายค่อนข้างสูง โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,370.82 (-2.16 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 6.3 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.0 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 4,037 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,007 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 9,418 สัญญา)
PTTGC (ราคาเป้าหมาย 44 บาท) รับอานิสงส์บวกจากราคาน้ำมันดิบโลกแกว่งขึ้นจากอุปทานที่ลดลงหลัง OPEC+ พยายามลดกำลังการผลิต และแท่นขุดเจาะน้ำมัน US ปรับลง 14 สัปดาห์ติดต่อกัน ส่วนด้านอุปสงค์ค่อยๆปรับขึ้นตามการคลาย Lockdown ทั่วโลก
การแพร่ระบาดใน US ยังน่าห่วง ผสาน Policy Risk กดดันกลุ่มธนาคาร: ในระยะสั้นปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในระลอกที่สองในสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดผู้ติดเชื้อรายวันของสหรัฐฯกลับมาสูงกว่า 3 หมื่นรายอีกครั้ง เป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 2 เดือน โดยรัฐสำคัญ เช่น California, Texas, Florida มีตัวเลขที่เร่งตัวขึ้นมาก ดังนั้นคงต้องจับตาท่าทีของผู้นำระดับสูง (โดนัล ทรัมป์, สตีเฟ่น มนูชิน, แลรี่ คูดโลว์) ซึ่งก่อนหน้านั้นได้กล่าวว่าจะไม่กลับมา Lockdown แม้ตัวเลขจะเข้าสู่ระลอกที่สองก็ตาม ส่วนปัจจัยในประเทศ จากมาตรการของ ธปท. ที่ประกาศให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่ายปันผลระหว่างกาล รวมถึงงดซื้อหุ้นคืน เราประเมินว่าเป็นการส่งสัญญาณให้ธนาคารเตรียมความพร้อมในฐานทุนให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้นแน่นอนว่าในระยะสั้นจะส่งผลเชิงลบต่อราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร จากการที่กองทุนที่เน้นปันผลอาจมีแรงขายออกมาเพื่อเปลี่ยนไปหาหุ้นที่จ่ายปันผลได้แน่นอนกว่า โดยเราประเมินเม็ดเงินอาจไหลเข้าพัก หุ้น Big Cap ที่มีความสามารถจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตราสูง เช่น INTUCH, ADVANC, PTTEP, SCC, PTTGC, CPF
Investment Strategy : วันนี้คาด SET ย่อตัว ในกรอบแนวรับ 1,350 ต้าน 1,385 จุด แนะนำสะสม Big cap ที่จ่ายปันผลระหว่างกาลสูง โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “PTTGC, PTT, CK
กลยุทธ์การลงทุน
มีหุ้น : รอดัชนีกลับมายืนเหนือระดับ 1385 จุด ค่อยสะสมเพิ่มใหม่อีกครั้ง
ไม่มีหุ้น : รอซื้อตามกรณีดัชนีทะลุ 1385 จุด หรือ Trading ในกรอบ 1360-1377 จุด
'JUBILE' กำลังซื้อครึ่งปีหลังฟื้น รุกขายออนไลน์ดันสัดส่วนชน 10% (ทันหุ้น)
ความเห็น : เรามองว่าภาวะเศรษฐกิจไม่แข็งแรง หรือ พร้อมนักสำหรับสินค้าเครื่องประดับ ขณะที่สัดส่วนการขายออนไลน์ถือว่าไม่มากนักในเชิงจำนวน ดังนั้น แนะ wait & see ไปก่อนดีกว่า คำแนะนำก่อนหน้า HOLD 13.00
ไก่ไทยยอดทะลัก 'ญี่ปุ่น-จีน' รุมซื้อ อานิสงส์เบอร์ 1 บราซิลซมพิษโควิด (ประชาชาติธุรกิจ)
ความเห็น : จากการที่บราซิลเป็นผู้ส่งออกไก่อันดับหนึ่งของโลก อาจทำให้ไทย (อันดับ 4) สามารถส่งออกไก่ได้มากขึ้นโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นและจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าไก่อันดับ 1 และ 6 ตามลำดับ บริษัทที่ได้ประโยชน์คาดว่าจะเป็น CPF และ GFPT ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไก่ประมาณ 4% และ 24% ตามลำดับ
STEC งานในมือ 1.1 แสนล้าน ยันรายได้ปีนี้ชน 3.5 หมื่นล. (ทันหุ้น)
ความเห็น : กลุ่ม BBS (STEC ถือหุ้น 20%) ลงนามโครงการสนามบินอู่ตะเภา 2.9 แสนล้านบาท เฟสแรกจะใช้เงินลงทุน 3 หมื่นล้านบาท จะมีงานโยธาช่วยเพิ่ม Backlog ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จะเริ่มรับรู้รายได้งานก่อสร้างในปี 2565 แนะนำ TRADING BUY ช่วงอ่อนตัว จากกำไรปีนี้จะทรุดลง และ ราคาหุ้นปรับขึ้นมาร่วม 60% จากกลาง มี.ค.
เร่ง TOR ทางคู่ 2 สายใหม่แสนล. ต.ค.ประมูลงานโยธา-สัญญาณ (ผู้จัดการรายวัน 360 องศา)
ความเห็น : โครงการรถไฟทางคู่จะทยอยเปิดประมูลในปีนี้ หลังจากที่ล่าช้ามานาน แต่จะเป็นโครงการที่มีการแข่งขันสูง เนื่องจากการก่อสร้างไม่ซับซ้อน และ มีการแบ่งย่อยหลายสัญญา ทำให้มีบริษัทรับเหมาขนาดกลางเข้ามาแข่ง อดีตที่ผ่านมามีการตัดราคาสูง เราให้น้ำหนักกลุ่มรับเหมาเท่าตลาด หุ้นที่เราแนะนำเก็งกำไรช่วงอ่อนตัวในกลุ่ม คือ CK (เป้าหมาย 24 บาท) และ STEC (เป้าหมาย 20 บาท)
Sino-Thai Engineering (STEC)
กลุ่ม BBS ลงนามสนามบินอู่ตะเภา
Company Update
ประเด็นการลงทุน
กลุ่ม BBS (STEC ถือหุ้น 20%) ลงนามโครงการสนามบินอู่ตะเภา 2.9 แสนล้านบาท เฟสแรกจะใช้เงินลงทุน 3 หมื่นล้านบาท โดยเป็นส่วนทุน 9,000 ล้านบาท ดังนั้น STEC จะใช้เงิน 1,800 ล้านบาท จะมีงานโยธาช่วยเพิ่ม Backlog ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จะเริ่มรับรู้รายได้งานก่อสร้างในปี 2565 ราคาหุ้น STEC ปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ที่ถูก คือ P/BV 1.6 เท่า เท่ากับ Forward P/BV-2SD ระยะ 10ปีที่ 1.5X ในขณะที่มีเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นสูง 4.6พันล้านบาท เราประเมินราคาเป้าหมาย12เดือนข้างหน้า 20 บาท อิงค่าเฉลี่ย10ปี Forward P/E = 25x แนะนำ TRADING BUY ช่วงอ่อนตัว จากกำไรปีนี้จะทรุดลง และ ราคาหุ้นปรับขึ้นมาร่วม 60% จากกลาง มี.ค.
กลุ่ม BBS ลงนามโครงการสนามบินอู่ตะเภา 2.9 แสนล้านบาท
กลุ่ม BBS (BA 45%, BTS 35%, STEC 20%) เมื่อวันศุกร์ (19 มิ.ย.) ได้ลงนามโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่าโครงการรวม 2.9 แสนล้านบาท เป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสําคัญของ EEC การลงทุนจะแบ่งออกเป็น 4 เฟส โดยเฟสแรก จะใช้เงินลงทุนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เป็นงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร พื้นที่เชิงพาณิชย์ อาคารจอดรถ ศูนย์ขนส่งภาคพื้นดิน และหลุมจอดอากาศยาน 60 หลุมจอด คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2567 สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 15.9 ล้านคนต่อปี เฟสที่ 2 รองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปี เสร็จปี 2573 เฟสที่ 3 รองรับผู้โดยสาร 45 ล้านคนต่อปี เสร็จปี 2585 และ เฟสที่ 4 รองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคนต่อปี เสร็จปี 2598 โดยเฟสแรก 3 หมื่นล้านบาท จะมีส่วนทุนประมาณ 9,000 ล้านบาท STEC ถือ 20% จะใช้เงินลงทุน 1,800 ล้านบาท
สนามบินอู่ตะเภาเฟสแรกจะช่วยเพิ่ม Backlog 2 หมื่นล้าน รับรู้รายได้ปี 2565
STEC มี Backlog ปัจจุบัน 8 หมื่นล้านบาท สนามบินอู่ตะเภาเฟสแรกจะมีงานก่อส้างโยธาประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาด STEC จะได้งาน เมื่อรวมกับงาน O&M มอเตอร์เวย์อีก 5-6 พันล้านบาท จะทำให้ STEC มี Backlog มากกว่าแสนล้านบาท โดยสนามบินอู่ตะเภาเฟสแรกคาดว่าจะใช้เวลา 1 ปีครึ่ง หรือ 18 เดือน ในการออกแบบ และเคลียร์พื้นที่เพื่อส่งมอบให้โครงการฯ รวมถึงวางแผนงานก่อสร้าง ทำให้โครงการนี้ STEC จะเริ่มรับรู้รายได้ก่อสร้างในปี 2565 จากนั้นใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี
ปรับประมาณการปี 2563 ลง แนวโน้มกำไรปี 2563 จะลดลง 31%
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และ ชมพู ได้ ขยายเวลาก่อสร้างอีก 9-12 เดือน เสร็จปี 2565 จากมีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ที่มีแนวโน้มจะลงมาต่ำกว่า 5% และ ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในสายสีเหลือและส้มที่น้อยกว่าคาด เราปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 2563 ลง 2% และ 22% ตามลำดับ คาดรายได้ 35,500 ล้านบาท โต 7.6% และ มีกำไรสุทธิ 1,027 ล้านบาท ลดลง 31%
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
ความเสี่ยง : ปัญหาการก่อสร้าง ต้นทุนวัสดุและแรงงาน คดีถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิด
Thai Consumer Finance
NIM กระทบจากการลดดอกเบี้ย
ลดกำไร KTC AEONTS ลดคำแนะนำ AEONTS MTC เป็น ถือ
แนะ ซื้อ KTC SAWAD
จากการลดอัตราดอกเบี้ย เราปรับลด EPS ของ KTC ลง 6% จาก NIM ที่ลดลงและคงคำแนะนำ ซื้อ โดยลดราคาเป้าหมายเหลือ 37 บาท (P/BV ปี 63 ที่ 4.2 เท่า P / E 17 เท่า) จาก 40 บาท เราปรับลดคำแนะนำ AEONTS เป็น ถือ จาก ซื้อ และลดราคาเป้าหมายลงเป็น 130 บาท (P / BV ปี 63 ที่ 1.4 เท่า, P / E 11 เท่า) จาก 170 บาท หลังจากลดกำไรต่อหุ้นของ AEONTS ลง 21-25% เพื่อสะท้อน NIM ที่ลดลงและต้นทุนเครดิตที่สูงขึ้น เรายังคงกำไรต่อหุ้นและราคาเป้าหมายของ MTC และ SAWAD ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ปรับลดคำแนะนำ MTC เป็น ถือ จาก ซื้อ หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 31% ในสองเดือน เราปรับลดน้ำหนักกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคเป็นเท่าตลาดจากมากกว่าตลาด
ธปท. ลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อภาคครัวเรือน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่ออุปโภคบริโภคซึ่งรวมถึงบัตรเครดิตสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 2-4ppts มีผลในเดือน ส.ค. 63 (รูปที่ 1) สำหรับลูกค้าทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดย ธปท. อนุญาตให้ผู้ประกอบการเพิ่มวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเป็น 2.0 เท่าของเงินเดือนจาก 1.5 เท่าสำหรับผู้ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท / เดือน (มีผลตั้งแต่ ส.ค.63 ถึง ธ.ค. 64 )
กำไร/หุ้น ปี 63 KTC และ AEONTS กระทบ 8-12% จากการลดดอกเบี้ยของ ธปท.
เราประเมินผลประกอบการปี 63 ของ KTC ได้รับผลกระทบ 8% และ 12% สำหรับ AEONTS จากสมมติฐานของการลดอัตราดอกเบี้ย 200bps สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตด้วยสัดส่วนการหมุนเวียน 70% และอัตราผลตอบแทนสินเชื่อบุคคลเฉลี่ยลดลง 200bps (รูปที่ 2) ปัจจุบัน KTC และ AEONTS คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 26.0-26.5% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจะต่ำกว่าที่เราคาดไว้หากทั้งสองบริษัทสามารถเพิ่มวงเงินเครดิตให้กับลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เราคาดว่าทั้งคู่จะลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพื่อชดเชยผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยบางส่วน
ผลกระทบเชิงลบต่อ SAWAD และผลกระทบจำกัดต่อ MTC
แม้ว่าอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อของ SAWAD จะอยู่ที่ 22% แต่อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงทั้งหมดนั้นสูงกว่าเนื่องจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ ดังนั้นเราจึงเห็นผลกระทบเชิงลบต่อสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ ในทางกลับกัน MTC มีผลกระทบจำกัด เนื่องจากมีการเรียกเก็บเงินเพียง 21% สำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และ 24-25% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงค่าธรรมเนียม โปรดทราบว่า MTC ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 30bps เป็น 21.25% สำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์และ 255bps เป็น 19.0% สำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ในช่วงเดือน มิ.ย. - ส.ค. 63 เพื่อกระตุ้นการเติบโตของสินเชื่อหลังจากที่สินเชื่อไตรมาส 2 ทรงตัว QTD
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web