- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 June 2020 14:40
- Hits: 1068
บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 19-6-2020
ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)
ไซด์เวย์ต่อไป
KGI ประเมิน SET Index วันศุกร์เทรดไซด์เวย์ต่อ ประเด็นข่าวผู้ติดเชื้อ Covid-19 เร่งตัวขึ้นจะยังจำกัดทางขึ้นของหุ้นโลกและหุ้นไทยในระยะนี้... ขณะที่เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยเทรดในกรอบที่จำกัดอิงทางลงเล็กน้อย (ตามคาด)... ทั้งนี้ปัจจัยต่อตลาดหุ้นในวันนี้เป็นกลาง ในส่วนของปัจจัยลบได้แก่ i) สหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 เร่งขึ้นสู่ 2.6 หมื่นคนเมื่อวานนี้ โดยรัฐฯ ใหญ่ๆ อย่างเท็กซัส ฟลอริดา และแคลิฟอร์เนีย ยังคงรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ii) ตัวเลขยอดขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ consensus คาดไว้... อย่างไรก็ดี ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืน และตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ ยังประคองตัวได้ ดัชนีฯ ส่วนใหญ่เทรดในกรอบแคบๆ เพราะแรงช่วยจากมาตรการทางการเงินต่างๆ ยังคงอยู่ (และเพิ่มขึ้น) ล่าสุด ธ.กลางอังกฤษประกาศเพิ่มขนาดของมาตรการ QE อีก 1 แสนล้านปอนด์ สู่ 7.25 แสนล้านปอนด์ ขณะที่สถานการณ์ติดเชื้อที่เร่งตัวขึ้นในขณะนี้ ยังไม่ส่งผลให้มีการปิดเมือง ปิดประเทศ รอบที่ 2 (ในกรณีปิดประเทศกันอีกรอบ ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าจะเป็นลบมากขึ้นต่อตลาดหุ้น)... สำหรับในสัปดาห์หน้า (22-26 มิ.ย.) ปัจจัยที่น่าจะมีผลต่อตลาดได้แก่ i) ตัวเลขส่งออก/นำเข้าของไทย เดือน พ.ค. เบื้องต้นน่าจะรายงานในวันที่ 22 มิ.ย. และ ii) ผลการประชุม กนง. ในวันที่ 24 มิ.ย. ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ KGI มองว่ามีโอกาสสูงที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% สู่ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)
เก็งกำไร AMATA*, SPRC*, VGI*
AMATA* (เป้าพื้นฐาน 18.5 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 16.0 บาท / แนวต้าน 17.0 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้าถัดไป 17.6 บาท (Stop loss 15.0 บาท) 2) ประเมินธีมการลงทุนกลุ่มนิคมฯ i) ย้ายฐานการผลิตจากจีน (คาดภาครัฐฯจะมีมาตรการจูงใจการลงทุน) ii) เตรียมเปิดน่านฟ้าให้นักธุรกิจเดินทางเข้าประเทศ iii) ความชัดเจนของโครงการสนามบินอู่ตะเภา ... แนะนำ "Let profit run / เก็งกำไร" WHA* ด้วยธีมกลุ่มนิคมฯเช่นกัน (WHA* แนวรับ 3.6 บาท / แนวต้าน 4.0 บาท)
SPRC* (เป้าพื้นฐาน 10 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 6.85 บาท / หากวันนี้ยืนเหนือแนวราคา 7.0 บาทได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 7.5 - 7.8 บาท (Stop loss 6.5 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q63 Turnaround จาก i) จะไม่มีขาดทุนสต๊อก เช่นใน 1Q63 อิงราคาน้ำมันดิบปัจจุบัน ii) ค่าการกลั่นเฉลี่ย 2Q63 ฟื้นตัว QoQ 3) PBV 1.14 เท่า ยังอยู่ในระดับต่ำ -1.0 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต
VGI* (เป้า Consensus 7.88 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 7.6 บาท / แนวต้าน 7.90 - 8.15 บาท (Stop loss 7.1 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกจากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ (รถไฟฟ้า, ห้างค้าปลีก กลับมาดำเนินกิจกรรมตามปกติ) 3) ราคาหุ้น Laggard PLANB* ที่เราแนะนำมาก่อนหน้า นักลงทุนอาจพิจารณาใช้กลยุทธ์ Pair trading เพื่อลดความเสี่ยงตลาดฯ โดย Long VGI* / Short PLANB* พร้อมๆกัน
หุ้นมีข่าว
(+) จัดเซ็นอู่ตะเภาวันนี้ เล็ง STEC*-BA รับเต็ม (ทันหุ้น) STEC*-BA-BTS* คิกออฟโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา นายกฯ นั่งประธานพิธีเซ็นสัญญาลงทุน ชี้โปรเจ็กต์ยักษ์มูลค่า 3 แสนล้านบาท เบื้องต้นเฟสแรกก่อสร้าง 20,000 ล้านบาท ส่องเป้าหุ้นรับประโยชน์ STEC*-CK*-SEAFCO-BA เจาะลึกกลยุทธ์ลงทุน STEC*
(+) รถไฟสีส้ม-สีม่วงมาแล้ว CK* เต็งคว้างาน 2 แสนล. (ทันหุ้น) "ศักดิ์สยาม" ลั่น ชัดเจนแล้ว รฟม.ประกาศ TOR ประมูลสายสีส้มตะวันตก 1.1 แสนล้าน กรกฎาคมนี้ ประกาศผู้ชนะปีนี้ เตรียมประมูลงานโยธาสีม่วงใต้กันยายนต่อเนื่อง ได้ผู้ชนะปีนี้เช่นกัน เข้าทาง CK*-BEM* เต็มๆ โบรกเชื่อมีโอกาสกินรวบ ชี้ CK* แบ็กล็อกเข้าปีหน้า 2 แสนล้าน การประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลปีหน้า
(- กลุ่มธนาคาร, สถาบันการเงิน Non-Bank) ธปท.ประกาศวันนี้ แพ็กเกจช่วยดอก บัตรเครดิต/เช่าซื้อ (ข่าวหุ้น) วันนี้ (19 มิ.ย.) แบงก์ชาติแจ้งลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล จำนำทะเบียนรถ เช่าซื้อ ฯลฯ ด้านรองโฆษกรัฐบาล เผยรูดปรื๊ดเหลือ 16% เช่าซื้อลด 1% ด้านโบรกฯ ชี้กระทบแบงก์/นอนแบงก์แน่ ส่วน MTC* ตีปีกรอด เหตุคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าเพดาน แบงก์ชาติอ้างดอกเบี้ยนโยบายปรับลง ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการลดต่ำอยู่แล้ว
(+) CBG* อัดงบการตลาด 200 ล้าน ดันยอด 'วู้ดดี้ ซี+ล็อค' รสส้ม (ทันหุ้น) CBG* วางงบการตลาด 200 ล้านบาท ดันเครื่องดื่มวิตามินซี "วู้ดดี้ ซี+ล็อค" รสส้ม ดันส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เตรียมบุกร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านขวด พร้อมเดินหน้าขยายไลน์สินค้า เพิ่มส่วนแบ่งตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์
(+) TRUE* ขาย DIF รับ 4.4 พันล. จ่อรับรู้กำไรพิเศษไตรมาส 2 (ทันหุ้น) TRUE* รับทรัพย์เข้ากระเป๋า 4.4 พันล้านบาท จากการขายหน่วยลงทุน DIF จำนวน 300 ล้านหน่วย ในราคาเฉลี่ยหน่วยละ 14.70 บาท โบรกคาดจะรับรู้กำไรพิเศษในไตรมาส 2/2563 ประมาณ 2.0-2.5 พันล้านบาท
หุ้นที่เคยแนะนำก่อนหน้า
หุ้นที่แนะนำ "Let profit run" โดยกำหนดจุดล็อกกำไร Trailing stop: RS* (Trailing stop 13.5 บาท), JMART (Trailing stop 9.0 บาท)
WHA* (เป้าพื้นฐาน 3.5 บาท) แนวรับ 3.6 / แนวต้าน 4.0 บาท (Trailing stop 3.4 บาท)
STEC* (เป้าพื้นฐาน 19.2 บาท) แนวรับ 15.8 บาท / แนวต้าน 16.6 - 17.0 บาท (Stop loss 15.0 บาท)
PLANB* (เป้าพื้นฐาน 7.8 บาท) แนวรับ 6.0 บาท / แนวต้าน 6.7 บาท (Trailing stop 5.7 บาท)
CENTEL* (เป้าพื้นฐาน 26 บาท) แนวรับ 25 บาท / แนวต้าน 27.0 - 27.5 บาท (Stop loss 24.6 บาท)
AMA (เป้าพื้นฐาน 6.3 บาท) แนวรับ 5.5 บาท / แนวต้าน 6.0 บาท (Trailing stop 5.2 บาท)
EP (เป้าพื้นฐาน 5.1 บาท) แนวรับ 3.70 บาท / แนวต้าน 3.84 - 4.0 บาท (Trailing stop 3.54 บาท)
Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
MTC* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 61 บาท จากการ Conference call ฝ่ายวิจัยฯประเมิน ผลจากที่ ธปท. จะออกมาตรการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ จะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของ MTC* น้อย ขณะที่ Valuation ไม่แพง (PE ปีนี้ 24 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว +30 เท่า)
กลุ่มค้าปลีก น้ำหนักลงทุน "เท่ากับตลาดฯ" ฝ่ายวิจัยฯประเมินผลบวกจากมาตรการเงินเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (ต่อเนื่องจาก "เราไม่ทิ้งกัน") จะเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มค้าปลีก เลือก CPALL* และ GLOBAL* เป็นหุ้นเด่น
Commerce Sector
ได้แรงเสริมจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ
Event
อัพเดตแนวโน้มธุรกิจกลุ่มการพาณิชย์
lmpact
การที่ COVID-19 ระบาดทำให้สูญเสียรายได้ประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ
แม้ว่าจำนวนแรงงานในภาคบริการจะคิดเป็นประมาณ 29.7% ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ (Figure 1), แต่รายได้ของแรงงานกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 46.1% ของรายได้รวม (Figure 2) การใช้มาตรการ lockdown ประเทศเพื่อคุมการระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการจ้างงานในภาคบริการเมื่อเทียบกับภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เราคาดว่าน่าจะเห็นการฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้จากการผ่อนคลายมาตรการ lockdown และข้อจำกัดเรื่อง social distancing แต่อย่างไรก็ตาม เราประเมิน scenario ในกรณีเลวร้ายว่าสถานการณ์ COVID-19 จะทำให้สูญเสียรายได้ไปประมาณ 2 ล้านล้านบาท (Figure 3) คิดเป็น 36% ของการบริโภครวมของประเทศไทย (Figure 5)
แม้จะมีเม็ดเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว แต่ก็ยังขาดอีก 1.2 ล้านล้านบาท
รัฐบาลได้ออก พรก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดย 6 แสนล้านบาทจัดสรรไปให้กับผู้ประกอบอาชีพอิสระ (4.50 แสน ลบ.) และ เกษตรกร (1.50 แสน ลบ.) ดังแสดงใน Figure 9 ในขณะที่ส่วนที่เหลืออีก 4 แสนล้านบาทคาดจะออกมาในครึ่งหลังของปีนี้ แต่แม้จะมีเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ก็ยังขาดอีกถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 22% ของการบริโภครวม (Figure 11) ซึ่งแบ่งเป็นสินค้าจำเป็นประมาณ 5.3% และสินค้าฟุ่มเฟือย 16.9% ของการบริโภครวม (Figure 12)
แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ 4 แสนล้านบาทจะส่งผลดีกับผู้ประกอบการในต่างจังหวัด
โครงการช่วยเหลือวงเงิน 4 แสนล้านบาท (ส่วนที่เหลือจาก พรก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งจะ ช่วยเสริมศักยภาพ รวมถึงยกระดับการค้า ภาคการผลิต และการบริการของประเทศ เราคาดว่าแพ็คเกจนี้จะจัดสรรไปให้ต่างจังหวัดในแง่ของการเพิ่มการจ้างงาน (~50% ของงบประมาณทั้งหมด) เพิ่มการใช้วัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ (~50% ของงบประมาณทั้งหมด) ดังนั้น เราจึงคาดว่าผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายสาขาในต่างจังหวัดจะได้อานิสงส์จากแพ็คเกจนี้ โดยผู้ประกอบการที่ขายสินค้าที่จำเป็นต่อผู้บริโภคอย่าง Siam Makro (MAKRO.BK/ MAKRO TB), Big C Supercenter (BIGC) และ Tesco Lotus ต่างก็มีเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งในต่างจังหวัด (ประมาณ 70-80% ของจำนวนสาขาทั้งหมด) ในขณะเดียวกัน เราก็มองว่า Siam Global House (GLOBAL.BK/ GLOBAL TB)* จะเป็นผู้ประกอบการที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งได้ประโยชน์จากประเด็นนี้ เพราะสาขาทุกแห่งอยู่ในต่างจังหวัด
คงให้น้ำหนักกลุ่มการพาณิชย์ที่ Neutral แต่มองว่ายังพอมีโอกาสให้เข้าเก็งกำไรได้
เรามองว่ายังพอมีโอกาสให้เข้าเก็งกำไรใน C.P. All (CPALL.BK/CPALL TB)* สำหรับกลุ่มที่ขายสินค้าจำเป็นต่อผู้บริโภค และ Siam Global House (GLOBAL.BK/GLOBAL TB)* สำหรับกลุ่มที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือย โดย CPALL* จะได้ผลบวกโดยอ้อมจาก MAKRO และผลบวกโดยตรงจากเครือข่ายร้านสะดวกซื้อของบริษัทจากการผ่อนคลายมาตรการ lockdown โดยคาดว่ากำไรในปี 2564 จะโต 17% และราคาหุ้นยังมี upside ถึงราคาเป้าหมายของเราอีก 13.7% ในขณะที่เราคาดว่ากำไรของ GLOBAL* ในปี 2564 จะโตอย่างน่าสนใจถึง 34% คิดเป็น PEG ที่สมเหตุสมผลที่ 0.9X เราให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มการพาณิชย์ที่ "เท่ากับตลาด" และมองว่ามีโอกาสเข้าเก็งกำไรใน CPALL* (แนะนำถือ โดยให้ราคาเป้าหมาย 1H64 ที่ 79.00 บาท) และ GLOBAL (แนะนำถือ โดยให้ราคาเป้าหมาย 1H64 ที่ 14.60 บาท)
Risks
เศรษฐกิจชะลอตัวลง เกิด disruption จากเทคโนโลยีใหม่ ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการ พฤตกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ขยายสาขาห้างได้ช้าเกินคาด การหาทำเลสร้างสาขาใหม่
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web