WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 18-6-2020KGI

ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้     ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)

เข้าช่วงพักสร้างฐาน รอปัจจัยกระตุ้นเพิ่มเติม

KGI ประเมิน SET Index วันพฤหัสฯ ไซด์เวย์/ปรับลงในกรอบแคบๆ... คาดว่าตลาดหุ้นจะเริ่มพักสร้างฐาน หลังรีบาวด์รับรู้ปัจจัยบวกเกี่ยวกับมาตรการซื้อหุ้นกู้ภาคเอกชนจาก ธ.กลางสหรัฐฯ (เฟด) และข่าวการพบยาสเตียรอยด์ที่รักษาผู้ป่วย Covid-19 ได้ดี ไปค่อนข้างมากแล้ว... ขณะที่ปัจจัยตลาดหุ้นโลกพลิกกลับมาเป็นลบเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ กล่าวคือ i) ล่าสุด 4 รัฐใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ได้แก่เท็กซัส ฟลอริดา แอริโซนา และโอคลาโฮมา รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายวันขึ้นสูงสุดครั้งใหม่เป็นประวัติการณ์ เพิ่มความกังวลต่อการระบาดรอบ 2 อีกครั้งหนึ่ง... ขณะที่ในฝั่งจีนนั้น กรุงปักกิ่งยกระดับภาวะฉุกเฉินขึ้นอีกขั้น และเริ่มควบคุมการบินเข้า/บินออกจากกรุงปักกิ่งอีกครั้ง หลังจากการติดเชื้อในกรุงปักกิ่งเกิดขึ้นต่อเนื่อง ii) ประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามกฎหมายคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ของจีนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและชนเผ่าอุยกูร์... ทั้งนี้ด้วยปัจจัยต่างๆ ข้างต้น คาดว่าตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทยจะทรงตัวเพื่อรอปัจจัยเพิ่มเติม และฝ่ายวิจัยฯ มองว่าการเทรดไซด์เวย์ของดัชนีฯ ในช่วงสั้น ผนวกกับสภาพคล่องในตลาดหุ้นที่ยังอยู่ในระดับสูง น่าจะเอื้อต่อการเข้าเก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็ก (mid-to-small caps) ที่มีธีมการลงทุนเฉพาะตัวเข้าหนุนราคาหุ้น (ดูหุ้นแนะนำวันนี้ ในส่วนถัดไป)  

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน   ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)

เก็งกำไร AMATA*, STEC*, PLANB*

                AMATA* (เป้าพื้นฐาน 18.5 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.8 บาท / แนวต้าน 17.0 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้าถัดไป 17.6 บาท (Stop loss 15.0 บาท) 2) ประเมินธีมการลงทุนกลุ่มนิคมฯ i) ย้ายฐานการผลิตจากจีน (คาดภาครัฐฯจะมีมาตรการจูงใจการลงทุน) ii) เตรียมเปิดน่านฟ้าให้นักธุรกิจเดินทางเข้าประเทศ iii) ความชัดเจนของโครงการสนามบินอู่ตะเภา 3) อัตราส่วนราคา AMATA*/WHA* เริ่มวกกลับสู่ค่าเฉลี่ย แนะนำ "ซื้อคืน" AMATA* ที่เคยแนะนำ Short sell จากกลยุทธ์ Pair trade ไปก่อนหน้า และแนะนำ "Let profit run / เก็งกำไร" WHA* ด้วยธีมเดียวกัน (WHA* แนวรับ 3.6 และ 3.5 บาท / แนวต้าน 4.0 บาท)

                STEC* (เป้าพื้นฐาน 19.2 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.7 บาท และ 15.5 บาท / แนวต้าน 16.6 - 17.0 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 17.8 บาท (Stop loss 15.0 บาท) 2) ประเมิน Sentiment บวกจากการที่ภาครัฐฯเตรียมเซ็นสัญญางานสนามบินอู่ตะเภาภายในเดือนนี้ (ฝ่ายวิจัยฯประเมินมูลค่างานก่อสร้างเฟสแรก 2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบัน Backlog 7.3 หมื่นล้านบาท) 3) ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H63 จะดีขึ้น HoH จากการเริ่มงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าของ GULF* ที่มีอัตรากำไรดี

                PLANB* (เป้าพื้นฐาน 7.8 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 5.7 บาท / แนวต้าน 6.0 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 6.7 บาท (Stop loss 5.4 บาท) 2) แม้ฝ่ายวิจัยฯจะประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q63 จะเป็นจุดต่ำสุด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ แต่เราประเมินว่าตลาดฯได้รับรู้ประเด็นนี้ไปพอสมควรแล้ว ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวใน 2H63 ต่อเนื่องในปี 2564 หลังผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ 3) คาดกำไรปี 2564 จะกลับมาโต +100% YoY และ PE จะลดลงเหลือเพียง 25 เท่า (ค่าเฉลี่ย PE ในอดีต +45 เท่า)

หุ้นมีข่าว

(+BEM*) กรมรางฯ เล็งชง ศบค.ผ่อนปรน นั่งรถไฟฟ้าติดกันได้ รับปริมาณคนช่วงเปิดเทอม (ไทยรัฐออนไลน์) ความเห็น : เรามีมุมมองเชิงบวกต่อข่าวดังกล่าว โดยสมควรกำหนด เพิ่มความหนาแน่นได้ไม่เกิน 70% จากเดิมที่หากเป็นมาตรการเข้มงวดจะได้เพียง 25% และ 50% ในชั่วโมงเร่งด่วน หากมีการผ่อนคลายจริงจะทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางได้เพิ่มขึ้น จากเดิมประมาณ 230,000 คน/วัน มาอยู่ที่ระดับใกล้เคียง 300,000 คน/วัน แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าระดับคุ้มทุนที่ 400,000 คน/วัน ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคา เป้าหมาย 1H21 ที่ 11.10 บาท

(0)   AOT* ออกประกาศให้ยื่นประมูลการประกอบกิจการให้บริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Duty Free Pick-up Counter) สำหรับสนามบินภูเก็ต โดยจะให้บริการตั้งแต่ 16 กันยายน 2564-31 มีนาคม 2575 โดยการยื่นข้อเสนอร่วมประมูลจะเกิดขึ้นวันที่ 14 สิงหาคม 25693 และประกาศผลการประมูลในวันที่ 18 สิงหาคม 2563 (AOT) เราเห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดเล็ก อีกทั้งยังสร้างรายได้ให้กับ AOT เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากรายได้ที่มาจากสนามบินในภูมิภาคของ AOT อยู่ที่ระดับเพียง 1.07 พันล้านบาท โดยสนามบินภูเก็ตมีสัดส่วนประมาณ 74% ขณะที่รายได้ในส่วนการให้บริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากรคิดเป็นเพียง 3% ดังนั้น รายได้ที่เกิดจากบริการดังกล่าวเป็นเพียงประมาณ 24 ล้านบาท เรายังคงแนะนำถือ AOT โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 58 บาท

(0) รายรับจากการขายของ M ฟื้นตัวเพียง 60% ของระดับ pre-COVID-19 (Efinance Thai): บริษัท เอ็มเคเรสโตรองต์กรุ๊ป (M.BK / M TB) คาดว่ารายได้ปี 2563 จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ 8% บริษัท กำลังเตรียมที่จะทบทวนเป้าหมายรายได้หลังจากมีมาตรการปลดล็อคแล้ว ทั้งนี้ M เปิดเผยว่ายอดขายของ บริษัท ได้ฟื้นตัวเพียง 60% ของระดับปกติ เนื่องจากการจำกัดจำนวนลูกค้าต่อโต๊ะ เพื่อชดเชยรายได้โดยรวมที่ลดลง M ไม่เพียงแต่ลดค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงเงินเดือนของพนักงานและการไม่จ่ายค่าล่วงเวลา แต่ยังได้เจรจากับศูนย์การค้าเพื่อขอลดค่าเช่า อย่างไรก็ดี M ยืนยันว่าเงินสดในมือนั้นเพียงพอและ บริษัทไม่จำเป็นต้องขอสินเชื่อธนาคารเพื่อสนับสนุนสภาพคล่องของบริษัท Our comments: เรามองข่าวนี้ว่าเป็นกลาง โดยในประมาณการของเรา เราได้พิจารณาแล้วว่าผลประกอบการของ บริษัท จะแตะระดับต่ำสุดในไตรมาส 2Q63 และคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้าๆในครึ่งปีหลัง เราคาดการณ์อย่างอนุรักษ์นิยมว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะติดลบ 31.8% ในปี 2563 โดยได้รวมการปิดร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบชั่วคราวในครึ่งแรกของปี 2563 อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าเงินสดในมือจะช่วยให้บริษัท มั่นใจว่าจะไม่ประสบปัญหาสภาพคล่อง เรายังคงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายกลางปี 64 ที่ 51.5 บาท

(- กลุ่ม Non-Bank) ธปท.สั่งหั่นดอกเบี้ยเพิ่ม 'บัตร-พีโลน' ลดสูงสุด 4% (กรุงเทพธุรกิจ) "แบงก์ชาติ" เรียกแบงก์-นอนแบงก์ ถกลดดอกเบี้ยเพิ่มหวังช่วยลดภาระประชาชนจากวิกฤติ โควิด โดยสั่งลดดอกเบี้ย 2-4% ทั้ง "บัตรเครดิต-พีโลน-เช่าซื้อรถ" มีผล 1 ก.ค.ถึงสิ้นปีนี้ คาดเตรียมประกาศใช้เร็วๆ นี้

(+ กลุ่มโรงแรม CENTEL*, ERW*, MINT* / ธุรกิจการบิน AAV, AOT*, BAFS / กลุ่มนิคมฯ AMATA*, WHA*) ชงศบค. จับคู่ปท. 26 มิ.ย.นี้ นำร่องนักธุรกิจ-คนทำงาน (ผู้จัดการรายวัน 360 องศา) "อนุทิน" ชง ศบค.เคาะ Travel Bubble 26 มิ.ย.นี้ คาดเป็นแบบ MOU นำร่องกลุ่มนักธุรกิจ-มีตั๋วทำงาน เข้ามาก่อนการท่องเที่ยว เตือน ปชช.ใช้ชีวิตวิถีใหม่ อย่าทำไข่แตก หลังติดเชื้อในประเทศเป็น 0 มา 23 วัน

(- MCOT) 'บิ๊กตู่'สั่งสอบ'อสมท' ปมแบ่งเค้กเพลย์เวิร์ค (ข่าวหุ้น) ประยุทธ์สั่งตรวจสอบ MCOT ปมแบ่งเงินเยียวยาคลื่น 2600 MHz กับ เพลย์เวิร์คพร้อมดูกฎหมายเล็งให้ เขมทัตต์หยุดปฏิบัติหน้าที่ช่วงตรวจสอบ ฟาก เขมทัตต์กร้าว! เชื่อตั้งคกก.ตรวจสอบไม่มีผลต่อมติกทสช. พร้อมแจง มีอำนาจในหนังสือที่ส่งให้ กสทช. ชี้ทำตามมติกรรมการมาโดยตลอด กำหนดส่วนแบ่งเงินเยียวยา 50:50 ยันรักษาผลประโยชน์องค์กร ทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์

(+) บีโอไอหนุน TOP-BGRIM ลงทุนโรงงานผลิตไฟฟ้า (ข่าวหุ้น) นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เผยว่าคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบให้การส่งเสริมการลงทุน แก่โครงการขนาดใหญ่ 5 โครงการ รวมมูลค่าลงทุน 41,834 ล้านบาท

(+) ก.ล.ต.ไฟเขียว'กลุ่มน้ำตาลครบุรี' ตั้งอินฟราฟันด์วงเงิน 2.8 พันล. ลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล (ข่าวหุ้น) บลจ.กรุงไทย (KTAM) ผลักดันกลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBS) จัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) วงเงินไม่เกิน 2,800 ล้านบาท ล่าสุด ก.ล.ต. ได้อนุมัติแบบไฟลิ่งของกองทุนฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชู ความแข็งแกร่งของกลุ่มฯ ป้อนวัตถุดิบเพื่อสร้างความมั่นคงด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล

หุ้นที่เคยแนะนำก่อนหน้า

                หุ้นที่แนะนำ "Let profit run" โดยกำหนดจุดล็อกกำไร Trailing stop: RS* (Trailing stop 13.0 บาท), JMART (Trailing stop 9.0 บาท)

                WHA* (เป้าพื้นฐาน 3.5 บาท) แนวรับ 3.6 และ 3.5 บาท / แนวต้าน 4.0 บาท (Trailing stop 3.4 บาท)

                CENTEL* (เป้าพื้นฐาน 26 บาท) แนวรับ 25 บาท / แนวต้าน 27.0 - 27.5 บาท (Stop loss 24 บาท)

                AMA (เป้าพื้นฐาน 6.3 บาท) แนวรับ 5.4 บาท / แนวต้าน 6.0 บาท (Stop loss 5.2 บาท)

                EP (เป้าพื้นฐาน 5.1 บาท) แนวรับ 3.56 บาท / แนวต้าน 3.70 - 3.84 บาท (Stop loss 3.5 บาท)

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้

                กลุ่ม Non-Bank น้ำหนักลงทุน "เท่ากับตลาดฯ" เริ่มมีปัจจัยกดดันเรื่องมาตรการของ ธปท. โดยทาง ธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาการกำหนดมาตรการให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (คาดลดลงราว 2 - 4% จากปัจจุบัน) เพื่อลดภาระประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด-19 และคาดมีโอกาสบังคับใช้ในช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค.2563 ฝ่ายวิจัยฯประเมินผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มเรียงลำดับดังนี้ SAWAD*, KTC*, และ MTC* ตามลำดับ

                กลุ่มอสังหาฯ น้ำหนักลงทุน "เท่ากับตลาดฯ" ฝ่ายวิจัยฯยังยืนยันมุมมองเดิมที่มีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมฯว่า ดีมานด์บ้านปีนี้จะลดลง -40% YoY ขณะที่แนวโน้มของการฟื้นตัวจะไปเห็นในปี 2564 โดยบ้านแนวราบจะเด่นกว่าคอนโดมิเนียม หุ้นเด่นเลือก AP* และ LH* ขณะที่ทำการปรับคำแนะนำ SPALI* ขึ้นเป็น "ซื้อ" (เดิม "ถือ") ... วันนี้มีบทวิเคราะห์ LH* และ QH*

Strategic SET daily

June 18, 2020                      Market strategy                    Thailand

1 อดิศักดิ์ คำมูล

2 66.2658.8888 ต่อ 8843

3 [email protected]

จิตวิทยาตลาดวันนี้: --- นัยรับ 1375 จุด

วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นหรือปิดเหนือนัยรับ 1375 จุดได้นั้น อาจทรงราคาขึ้นในกรอบ 1375-1393 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงปิดต่ำกว่านัยรับ 1375 จุดนั้น อาจทรงราคาลงในกรอบ 1375-1338 จุด

แนวรับวันนี้:       1375/1344               แนวต้านวันนี้:         1382/1392

Non-Bank Sector

ความกังวลเรื่องกฎเกณฑ์ของทางการกลับมาอีกครั้ง

Event

Sector update

lmpact

ความกังวลเรื่องกฎเกณฑ์ของทางการกลับมาอีกครั้ง

ตลาดกำลังเป็นกังวลกับความเสี่ยงเรื่องกฎเกณฑ์ของทางการเกี่ยวกับการลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผู้บริโภค ซึ่งรวมถึงบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล (P-loan) ลิสซิ่ง และสินเชื่อจำนำทะเบียน ซึ่งถูก ธปท. ควบคุมโดยตรง เราคิดว่าการลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผู้บริโภคเป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก covid-19 เนื่องจากมาตรการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันบางมาตรการจะสิ้นสุดในปลายเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้ภาพแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ non-bank โดยรวมเปลี่ยนแปลงไป

มาตรการดอกเบี้ยต่ำที่ 12% สำหรับบัตรเครดิต และ 22% สำหรับ P-Loan ที่ใช้ในปัจจุบันไม่ประสบผลมากนัก

ธปท. แนะนำให้ธนาคาร และนอนแบงก์ลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตเหลือแค่ 12% (จากเพดานที่ 18%) และลดอัตราดอกเบี้ย P-Loan เหลือ 22% (จากเพดานที่ 28%) เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก covid-19 โดยให้มีผลเป็นเวลา 3 เดือน จากเดือนเมษายน 2563-มิถุนายน 2563 แต่อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ไม่ค่อยได้ผลเพราะมีลูกหนี้แค่ไม่กี่รายเท่านั้นที่ได้เข้าร่วม เนื่องจากเงื่อนไขที่ธปท.และสถาบันการเงินไม่เอื้ออำนวย KTC เผยว่ามีลูกหนี้ที่มีมูลหนี้รวมแค่ 200-300 ล้านบาท (<1% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด) ที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าโครงการนี้ได้ ในขณะที่ของ MTC มีลูกหนี้ที่มีมูลหนี้รวม 1.2 พันล้านบาท (ประมาณ 2% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด) ยื่นขอเข้าร่วมโครงการ

...น่าจะมีการผ่อนคลายเกณฑ์ลงอีก

ในกรณีฐาน เราคิดว่า ธปท. น่าจะผ่อนคลายเกณฑ์หลักลงอีก และสนับสนุนให้ทั้งธนาคาร และ non-bank ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ลูกหนี้ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจาก covid-19 โดยให้ครอบคลุมทั้งหนี้ที่ยังสร้างรายได้ และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพื่อลดภาระหนี้ของประชาชน และเพิ่มรายได้ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยป้องกันความเสี่ยง NPL ของทุกสถาบันการเงิน ทำให้ลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือดอกเบี้ยจะไม่ได้มีแค่ 2-5% ของพอร์ตสินเชื่อ

Non-bank กำลังถูกกดดันจากการบังคับใช้นโยบาย

หากมาตราการลดดอกเบี้ยถูกนำมาใช้ ธนาคารจะไม่ถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญเพราะสินเชื่อผู้บริโภค (P-loan และบัตรเครดิต) คิดเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับสินเชื่อรวม แต่ non-bank จะถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า ซึ่งระดับความแรงจะขึ้นกับ ธปท. และการบังคับใช้นโยบาย ดังนั้น เราจึงมองว่าผลกระทบของนอนแบงก์ แต่ละแห่งจะไม่เท่ากัน (SAWAD>KTC>MTC) ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการดอกเบี้ยต่ำ

Valuation and action

ในปัจจุบัน KTC คิดดอกเบี้ยต่ำกว่าเพดาน โดยคิดดอกเบี้ย P-loan อยู่ที่ประมาณ 25% และดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ 15% ทั้งนี้ ถ้าหากมีลูกค้าในพอร์ต 10% ยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการดอกเบี้ยต่ำก็จะทำให้รายได้ลดลง 250 ล้านบาท หรือประมาณ 4% ของกำไรปีนี้ และคิดเป็นประมาณ 3% ในกรณีของ MTC แต่อย่างไรก็ตาม SAWAD จะถูกกระทบหนักกว่าเพราะในปัจจุบันคิดดอกเบี้ยสูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้น เราจึงมองว่า downside ของ yield สินเชื่อจะมากกว่า MTC ประมาณ 1.5x

Risks

มีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์เรื่องการคิดดอกเบี้ย NPL เกิดใหม่ ความเสี่ยงเรื่องการตั้งสำรอง

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!