- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 17 June 2020 11:07
- Hits: 3570
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 17-6-2020
Daily Focus
AECS Daily Focus
Market Outlook
วันนี้คาด SET Index รีบาวด์ต่อ โดยหนุนด้วย Sentiment บวกจากทั้งในและ ตปท. หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีกว่าคาด รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นจากเฟดพร้อมใช้เครื่องทางการเงินบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง ขณะที่ในประเทศครม.อนุมติแพ็กเกจการกระตุ้นธุรกิจภาคท่องเที่ยวหลังปลดเคอร์ฟิว และคลายล็อกดาวน์เฟส 4 อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการระบาดระลอกสองของเชื้อ COVID-19 ในสหรัฐฯ และจีนอย่างใกล้ชิด ประเมินการเคลื่อนไหว 1,360 – 1,385 จุด
Market Factor
- • (+) แม้สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) จะถอนการอนุญาตการใช้ยา Hydroxychloroquine ที่มีหลักฐานว่ายาดังกล่าวใช้ไม่ได้ผลกับการรักษา COVID-19 แต่อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการแพทย์ของอังกฤษ นายคริส วิตตี รายงานผลการใช้ยา Dexamethasone สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย COVID-19 ได้ถึง 1 ใน 3
- • (+) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยยอดค้าปลีกเดือน พ.ค. เพิ่ม 17.7%MoM มากกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 8.0%MoM และมากกว่า เดือน เม.ย. ที่หดตัวระดับ 14.7%MoM
- • (-) ประธาน Fed นายเจอโรม พาวเวล เตือนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนจากธุรกิจขนาดย่อมและผู้มีรายได้ต่ำ เนื่องจากยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างไรก็ดี Fed จะใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัว
- • (+) ครม.เห็นชอบหลักการให้ดำเนินมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว 3 แพ็กเกจ งบประมาณรวม 22,400 ลบ. ได้แก่ 1.แพ็กเกจกำลังใจ สนับสนุนค่าเดินทางของอสม.และเจ้าหน้าที่ รพ.สต.รวม 1.2 ล้านคน ไม่เกินคนละ 2,000 บ./คน 2.แพ็กเกจเที่ยว ปันสุข สนับสนุนการเดินทางของประชาชนในอัตราร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 1,000 บาท จำนวนไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน และ 3.แพ็กเกจเราไปเที่ยวกัน สนับสนุนค่าโรงแรมที่พักลักษณะร่วมจ่าย (Co-pay) ในอัตราร้อยละ 40 ของค่าห้องพักแต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน (กรุงเทพธุรกิจ)
- • (+) ครม.อนุมัติ 4 โครงการช่วยเหลือเยียวยาฯ ดังนี้ 1.โครงการเยียวยากลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการของรัฐอื่นๆ ได้รับเดือนละ 1,000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค.63) วงเงินรวม 3.49 พัน ลบ. 2.โครงการเยียวยาผู้ลงทะเบียน ”เราไม่ทิ้งกัน” ไม่สำเร็จ หลังตรวจความซ้ำซ้อนแล้วไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ วงเงินช่วยเหลือ 906 ลบ. 3.โครงการเยียวยากลุ่มเปราะบาง ครอบคลุม เด็กแรกเกิด ผู้สูงอายุ และคนพิการ จ่ายเงินให้คนละ 1,000 บ./เดือนเป็นเวลา 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค.63) วงเงินรวม 2.03 หมื่น ลบ. และ 4.โครงการช่วยเหลือเกษตรกร ทยอยจ่ายเงินไปแล้ว 7 ล้านราย ทั้งนี้ตั้งเป้าเยียวยาไว้ 10 ล้านราย (อินโฟเควสท์)
- • (watch) กพท.เผยอาจขยายเวลาการห้ามอากาศยานทำการบินเข้าไทยต่อ 1 เดือนจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.63 เป็นวันที่ 31 ก.ค.63 แต่อาจยกเว้นให้บางประเทศและผู้โดยสารบางกลุ่มเดินเข้าไทยได้ซึ่ง กพท.อยู่ระหว่างรอการผ่อนปรนเงื่อนไขจาก ศบค.คาดได้ข้อสรุปปลายสัปดาห์นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 16 มิ.ย.ไม่พบติดเชื้อรายใหม่ ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,135 ราย เสียชีวิตรวม 58 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.89% (7.2% DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.33% (4.7%DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.75% (1.4% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 66.1 บ. หรือลดลง 35.1%YTD
- • Update Flow เมื่อวานที่ผ่านมาต่างชาติซื้อสุทธิ 422.77 ลบ.ส่งผล MTD .ซื้อสุทธิที่ 218.76 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 2,626.53 ลบ.ส่งผล MTD.ขายสุทธิอยู่ที่ 55.73 ลบ.
Investment Strategy
สัปดาห์นี้ เรามีมุมมองต่อ SET ปรับตัวพักฐานในกรอบ 1,350-1,400 จุด โดยแม้จะมีปัจจัยหนุนจาก 1) แรงหนุนด้านสภาพคล่องในตลาดจากมาตรการทางการเงินของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก 2) การปลดล็อกดาวน์เฟสที่ 4 เปิดให้กลุ่มธุรกิจเสี่ยงกลับมาดำเนินการได้ การยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิว และการออกมาตการฟื้นธุรกิจภาคท่องเที่ยว และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศต่อเนื่อง ให้เกิดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบบมากขึ้น แต่คาดถูกกลบด้วย 3 ปัจจัยลบ ดังนี้ 1) ความกังวลสถานการณ์การระบาด COVID-19 ระลอกที่ 2 ทั้งในสหรัฐฯ และจีนหลังมีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เร่งตัวขึ้น 2) สถานการณ์ประท้วงในสหรัฐฯ กรณีการเสียชีวิตของฟลอยด์ ยังยืดเยื้อและขยายตัวเป็นวงกว้าง 3) การปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET จากข้อมูล Bloomberg Consensus อยู่ที่ 66.17 บ.ลดลง 35.11%YTD ส่งผลต่อ Valuation ตลาดที่ตึงตัว ณ ระดับดัชนี ปจบ.ที่เทรดอยู่ระดับ P/E 19.1X (สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 16.9X) นอกจากนี้ยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดัชนียอดขายปลีกเดือนพ.ค.รวมถึงการประชุมของธนาคารกลาง BOE และ ECB ถึงมาตรการการกระตุ้น และดูแลสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ฉะนั้นแนะนำเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เล่นเทรดดิ้งตามกรอบเน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (แม้กำไรสุทธิ 1Q63 ทำได้ 24.6 ลบ.ชะลอตัว 3.4% YoY แต่ด้วยความเป็นผู้นำของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการ บ.มีศักยภาพสูง เดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 12.8X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 41.6X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน – 68 เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พัน ลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.02X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 5.05%), SEAFCO (รายงาน 1Q63 กำไร 94.41 ลบ +11%QoQ และ -21.4YoY ) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL รายงานกำไร 1Q63 ที่ 5.64 พัน ลบ. (-2%YoY, -8%QoQ) ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ลูกค้าลดลง และมาตรฐาน บช.ใหม่เรื่องสัญญาเช่ามีต้นทุนเพิ่ม 308 ลบ. อย่างไรก็ดีรายได้รวมยังโต 5%YoY จากการเปิดสาขาใหม่ และรายได้ Banking agent ที่เติบโต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ MAKRO ที่ได้ประโยชน์จากช่วง COVID-19 ทั้งนี้การกลับมาผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐจะช่วยให้ 2H63 กำลังซื้อจะฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งการเข้าซื้อ TESCO LOTUS ในระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและ ปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการ1Q63 กำไร 70.4 ลบ -15.3%QoQ และ-12%YoY จากรายได้ที่ลดลง 16.3%QoQ และ 12.7%YoY เนื่องจากผลกระทบ COVID-19 ทำให้ช่องทางขายหน้าร้านที่เป็นช่องทางขายหลักถูกปิดไปในช่วง 22/3/63 ตามคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้าของภาครัฐ อย่างไรก็ดียอดขายในส่วน NSR 99.8 ลบ +9%YoY ทำให้สัดส่วนขึ้นมาเป็น 15% ของยอดขายรวม รวมถึงช่องทางขาย Export +31.3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 52.9% จากการผลิตที่น้อยลง และการชะลอนำเข้าสินค้าจากจีน และ SG&A/Sales ลดลง 10%YoY จากการควบคุมต้นทุนภายในที่ทำได้รวดเร็วหลังเกิดสถานการณ์ COVID แนวโน้ม 2Q63มีโอกาสอ่อนตัวต่อ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการขายแบบ NSR เพื่อชดเชยการขายหลักที่ถูกปิดไปในช่วงเมษ-พค และคาดยอดขายจะเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2H63, SSP ช่วง 1Q63 มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 161.2 ลบ. โต 24.3%YoY ผบห.คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมปจบ.กว่า 160 MW.พร้อมวางแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ในเวียดนาม และเตรียมเข้าลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้า 400 MW.ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
- •
- • Trading Idea
- • หุ้นที่คาดฟื้นตัวเด่นจากการคลาย Lock Down : เลือก BTSGIF โดยได้ปัจจัยหนุนโดยตรงจากการผ่อน Lock Down และการกลับมาเปิดภาคการเรียน 1 ก.ค.63 นี้ตามประกาศของกระทรวงศึกษาฯ หนุนยอดผู้โดยสารรวมฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ(ค่าเฉลี่ยรายเดือนปี 62 ที่ระดับ 20.6 ล้านเที่ยวคน) คาด Ridership ช่วงเดือน เม.ย.ที่ 3.5 ล้านเที่ยวคนเป็นจุดต่ำสุดแล้ว บวกกับจ่ายผลสม่ำเสมอ ให้ Div.Yield ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 6.7% นอกจากนี้ราคา ปจบ.มี Discount 18.7% จากราคาประเมิน NAV.ล่าสุดตามรายงาน ตลท.เมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ราคา 9.2273 บ./หน่วย
16-Jun-20 Change (pts.) 15-Jun-20
SET Index 1,367.13 25.14 1,341.99
SET50 Index 909.52 19.54 889.98
SET100 Index 2,006.81 42.90 1,963.91
High 1,376.99 Gainers 951
Low 1,362.38 Unchanged 291
Value (Bt m) 68,455.64 Losers 453
Volume (*000) 20,478,666
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 20.7 16.3 16.3
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -20.4
EV/EBITDA (x) 12.8 11.1 10.1
FWD PBV (x) 1.5 1.5 1.4
Dividend Yield (%) 2.7 3.0 3.3
ROE 6.7 8.1 8.6
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 16-Jun-20 WTD MTD YTD
Institution 2,626.53 1,385.53 (55.73) 67,530.36
Proprietary 797.81 (757.28) 3,590.85 1,061.34
Foreign 422.77 (3,590.98) 218.78 (193,710.33)
Individual (3,847.11) 2,962.72 (3,753.90) 125,118.63
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web