- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 08 June 2020 13:09
- Hits: 3884
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 8-6-2020
Daily Focus
วันนี้คาด SET Index แกว่งขึ้นต่อหลังปิดทะลุแนวต้าน EMA 200 วัน หนุนด้วย Sentiment บวกจากปัจจัย ตปท.ตัวเลขเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากทั้งฝั่งสหรัฐฯ และจีน รวมถึงประเด็นราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องหลังกลุ่ม OPEC+ ตกลงขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตออกไปอีก 1 เดือน ถึงสิ้นเดือน ก.ค.63 ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,425-1,450 จุด
Market Factor
(+) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือน พ.ค. พลิกกลับมาบวกที่ระดับ 2.5 ล้านตำแหน่ง มากกว่าที่ตลาดคาดหดตัว 8 ล้านตำแหน่ง และมากกว่าเดือน เม.ย. ที่หดตัว 20.5 ล้านตำแหน่ง ช่วยหนุนภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯหลังมีมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งตัวเลขอัตราการว่างงานเดือน พ.ค. ที่หดตัว 13.3% ลดลงต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 19.5%
(+) กลุ่ม OPEC และพันธมิตรมีมติขยายการปรับลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน อีก 1 เดือนจากเดิมสิ้นสุดเดือน มิ.ย. เป็น เดือน ก.ค. โดยจะการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 18 มิ.ย. และ 1 ธ.ค.63
(+) จีนรายงานตัวเลขการส่งออกเดือน พ.ค. หดตัว 3.3%YoY แต่อย่างไรก็ดียังมากกว่าที่ตลาดคาดที่หดตัว 7.0%YoY ส่วนตัวเลขการนำเข้าหดตัว 16.7%YoY มากกว่าที่ตลาดคาดที่หดตัว 9.7%YoY จากภาวะ COVID-19 ที่ยังมีการระบาดในหลายๆประเทศ
(watch) ติดตามการประชุม Fed วันที่ 9-10 มิ.ย. 63 คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% จาก CME FedWatch ที่ความน่าจะเป็น 90.7% และติดตามมุมมองทางเศรษฐกิจของ Fed หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรออกมาดีกว่าที่คาด
(watch) ติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในสหรัฐฯ หลังมีการประท้วงการเสียชีวิตของชายผิวสี จอร์จ ฟลอยด์ เริ่มต้นที่เมืองมินนิอาโพลิส รัฐมินเนโซต้าและขยายการประท้วงกว่า 75 เมืองทั่วสหรัฐฯ ทำให้มีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัส COVID-19 จะเร่งตัวขึ้น โดยวานนี้สหรัฐฯมีจำนวนผู้ติดเชื้อทรงตัวที่ระดับ 2.28 หมื่นล้านราย ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มลดลงที่ระดับ 706 ราย
(+) ศบค.แถลงเตรียมประกาศมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 ให้แก่กลุ่มกิจการที่มีความเสี่ยงสูง อย่างเช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก กองถ่าย ผับ บาร์ กลับมาเปิดดำเนินการได้ ทั้งนี้รอออกมาตรการหลักและมาตรการรอง เพื่อรองรับการปฏิบัติตนตามกลุ่มกิจการ (โพสต์ทูเดย์)
(0) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่เข้าคำนวณ FTSE SET Index Series มีผลวันที่ 22 มิ.ย.63 เป็นต้นไป ดังนี้ ดัชนี FTSE SET Large Cap Index มี 2 หลักทรัพย์ใหม่ ได้แก่ CRC และ DIF ขณะที่ดัชนี FTSE SET Mid Cap Index มี 6 หลักทรัพย์ใหม่ ได้แก่ ACE,BAM,IMPACT,LH,MINT และ TQM
(watch) กระทรวงการคลังได้เตรียมโครงการสำหรับงบประมาณฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท โดยเน้นผ่านธกส. ซึ่งจะเป็นการฟื้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ สร้างงาน และรายได้ให้เพิ่มขึ้น (ประชาชาติธุรกิจ)
รายงาน สธ.ประจำวันที่ 7 มิ.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,112 ราย เสียชีวิตรวม 58 ราย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.93% (2.2% DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.39%(2.2% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.89% (12.4% DoD)
ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 67.1 บ. หรือลดลง 34.2%YTD
Update Flow เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติพลิกซื้อสุทธิเป็นวันที่ห้าติดกันอีก 52.23 ลบ.ส่งผล MTD.ซื้อสุทธิอยู่ที่ 6,005.23 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 2,269.43 ลบ.ส่งผล MTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 8,597.41 ลบ.
Investment Strategy
สัปดาห์นี้ เรามีมุมมองต่อ SET แกว่งซิกแซกขึ้นต่อ หลังได้ SENTIMENT บวกหนุน ดังนี้ 1) ตัวเลขเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐฯและจีนออกมาดีกว่าตลาดคาดหลังผ่อนล็อกดาวน์ สะท้อนผ่านตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรปรับเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่ง ในเดือน พ.ค. 63 (ตลาดคาดลดลง 8.3 ล้านตำแหน่ง) ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 13.3% (ตลาดคาดพุ่งแตะ 19.5%) ส่วนตัวเลขส่งออกจีนเดือนพ.ค.หดตัวเพียง 3.3%YoY(ตลาดคาดหดตัว 7%YoY 2)กลุ่ม OPEC+ ตกลงขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปอีก 1เดือนหรือจนถึงสิ้นเดือนก.ค. 63 3) การเตรียมออกมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 ต่อเนื่อง หลังรายงานจาก ศบค.สะท้อนการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 มีประสิทธิภาพ 4) แรงหนุนด้านสภาพคล่องในตลาดจากมาตรการทางการเงินของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก อย่างไรก็ดีควรระมัดระวังแรงขายเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลัก ดังนี้ 1) สถานการณ์การประท้วงที่รุนแรงและขยายวงกว้างจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของฟลอยด์ ซึ่งเป็นความเสี่ยงทั้งต่อการชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตามมาตรการผ่อนล็อกดาวน์ และเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 และ 2) การปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET จากข้อมูล Bloomberg Consensus อยู่ที่ 67.18 บ.ลดลง 34.12%YTD ส่งผลต่อ Valuation ตลาดที่ตึงตัว ณ ระดับดัชนีปจบ.ที่เทรดอยู่ระดับ P/E 19.7X(สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10ปีที่ 16.9X) ฉะนั้นแนะนำเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เล่นเทรดดิ่งตามกรอบเน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน ประเมินกรอบเคลื่อนไหว 1,400-1,475 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (แม้กำไรสุทธิ 1Q63 ทำได้ 24.6 ลบ.ชะลอตัว 3.4% YoY แต่ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 12.8X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 41.6X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน - 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พัน ลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.02X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 5.05%), SEAFCO (รายงาน 1Q63 กำไร 94.41 ลบ +11%QoQ และ -21.4YoY ) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL รายงานกำไร 1Q63 ที่ 5.64 พัน ลบ. (-2%YoY, -8%QoQ) ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ลูกค้าลดลง และมาตรฐาน บช.ใหม่เรื่องสัญญาเช่ามีต้นทุนเพิ่ม 308 ลบ. อย่างไรก็ดีรายได้รวมยังโต 5%YoY จากการเปิดสาขาใหม่ และรายได้ Banking agent ที่เติบโต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ MAKRO ที่ได้ประโยชน์จากช่วง COVID-19 ทั้งนี้การกลับมาผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐจะช่วยให้ 2H63 กำลังซื้อจะฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งการเข้าซื้อ TESCO LOTUS ในระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและ ปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการ1Q63 กำไร 70.4 ลบ -15.3%QoQ และ-12%YoY จากรายได้ที่ลดลง 16.3%QoQ และ 12.7%YoY เนื่องจากผลกระทบ COVID-19 ทำให้ช่องทางขายหน้าร้านที่เป็นช่องทางขายหลักถูกปิดไปในช่วง 22/3/63 ตามคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้าของภาครัฐ อย่างไรก็ดียอดขายในส่วน NSR 99.8 ลบ +9%YoY ทำให้สัดส่วนขึ้นมาเป็น 15% ของยอดขายรวม รวมถึงช่องทางขาย Export +31.3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 52.9% จากการผลิตที่น้อยลง และการชะลอนำเข้าสินค้าจากจีน และ SG&A/Sales ลดลง 10%YoY จากการควบคุมต้นทุนภายในที่ทำได้รวดเร็วหลังเกิดสถานการณ์ COVID แนวโน้ม 2Q63มีโอกาสอ่อนตัวต่อ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการขายแบบ NSR เพื่อชดเชยการขายหลักที่ถูกปิดไปในช่วงเมษ-พค และคาดยอดขายจะเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2H63, SSP ช่วง 1Q63 มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 161.2 ลบ. โต 24.3%YoY ผบห.คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมปจบ.กว่า 160 MW.พร้อมวางแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ในเวียดนาม และเตรียมเข้าลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้า 400 MW.ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
Trading Idea
หุ้นที่คาดฟื้นตัวเด่นจากการคลาย Lock Down : เลือก BTSGIF โดยได้ปัจจัยหนุนโดยตรงจากการผ่อน Lock Down และการกลับมาเปิดภาคการเรียน 1 ก.ค.63 นี้ตามประกาศของกระทรวงศึกษาฯ หนุนยอดผู้โดยสารรวมฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ(ค่าเฉลี่ยรายเดือนปี 62 ที่ระดับ 20.6 ล้านเที่ยวคน) คาด Ridership ช่วงเดือน เม.ย.ที่ 3.5 ล้านเที่ยวคนเป็นจุดต่ำสุดแล้ว บวกกับจ่ายผลสม่ำเสมอ ให้ Div.Yield ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 6.7% นอกจากนี้ราคา ปจบ.มี Discount 18.7% จากราคาประเมิน NAV.ล่าสุดตามรายงานตลท.เมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ราคา 9.2273 บ./หน่วย
กลุ่มหลักทรัพย์ : จากมูลค่าการซื้อขายในตลาดโดยไม่รวมประเภทการลงทุนเพื่อบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ช่วง2Q63 ล่าสุดQTD +49%YoY ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวแรงของดัชนีหลังCOVID-19 เริ่มคลี่คลาย (+48%จากจุดต่ำสุดของปี 63) พบว่า บล.ที่จดทะเบียนในตลาดฯ ที่มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มสูงกว่าภาพรวมได้แก่ MBKET+70%, FSS+114%, UOBKH+85%, ZMICO+177%, KGI+61%,ASP+161%, GBX+110% เป็นประเด็นบวกเฉพาะตัวหนุนรายได้ค่า Comm. ที่เพิ่มขึ้น แนะนำเก็งกำไรระยะสั้นสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง
AECS (Fundamental and Strategic Team)
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary
ที่มา: บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ประจำวันที่ 8 มิ.ย. 2563
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web