- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 04 June 2020 13:08
- Hits: 3463
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 4-6-2020
AECS Daily Focus
Market Outlook
วันนี้คาด SET Index ดีดตัวขึ้นต่อได้ จากแรงหนุนด้านสภาพคล่อง รวมถึงการผ่อนล็อกดาวน์ต่อเนื่องจากหลายประเทศ ขณะที่ปัจจัยในประเทศหนุนด้วยมาตรการฟื้น และกระตุ้นเศรษฐกิจหลังควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ได้ อย่างไรก็ดีด้วย Valuation ของ SET ที่ตึงตัว และปัญหาเหตุการร์ประท้วงในสหรัฐฯ และการตอบโต้ประเด็นการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง และติดตามอย่างใกล้ชิด ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,365-1,390 จุด
Market Factor
• (-) แม้ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ เดือน พ.ค. ออกมาลดลง 2.76 ล้านตำแหน่งดีกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 8.75 ล้านตำแหน่ง แต่อย่างไรก็ดีจากการประท้วงการเสียชีวิตของ นายจอร์จ ฟลอยด์ ในวันที่ 25 พ.ค. ทำให้สหรัฐฯ ต้องประกาศเคอร์ฟิวกว่า 40 เมืองทั่วสหรัฐฯ คาดผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเริ่มส่งผลลบในเดือน มิ.ย. และจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 อาจเร่งตัวขึ้นในอีก 14 วันข้างหน้า
• (-) ตัวเลข PMI ภาคบริการ เดือน พ.ค. สหรัฐฯปรับขึ้นที่ระดับ 37.5 มากกว่าเดือน เม.ย. ที่ระดับ 26.7 แต่อย่างไรก็ดีดัชนี PMI ยังต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาคบริการสหรัฐฯยังคงอยู่ในภาวะหดตัว
• (watch) การประชุม OPEC ในวันนี้อาจเลื่อนการประชุมออกไป หลังซาอุฯและรัสเซียออกมาเตือนประเทศสมาชิกยุติการโกงโควตาผลิตน้ำมัน ทำให้กลุ่ม OPEC และพันมิตรอาจระงับการปรับลดกำลังการผลิตลง
• (+) สศค.เผยกระทรวงการคลังเตรียมหารือร่วมกับกระทรวงท่องเที่ยวฯวันนี้เพื่อเสนอมาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยว และการบริโภคของประชาชน หลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย เช่น ข้อเสนอแจกเงินเที่ยวคนละ 3,000 บาท จำนวน 10 ล้านคน และมาตรการอื่นซึ่งจะพิจารณาแนวทางสอดรับกับช่วงเวลาที่ประชาชนสามารถเดินทางได้และมีวันหยุด(ประชาชาติธุรกิจ)
• (+) ครม.มีมติคงการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.63 ตามกำหนดการเดิม แต่เห็นชอบให้ลดภาระภาษีลง 90% สำหรับทุกประเภทเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ(ประชาชาติธุรกิจ)
• (-) สรท.เผยการส่งออกของไทยช่วง ม.ค.-เม.ย.63 ขยายตัว 1.19 %YoY แต่หากหักทองคำ น้ำมันและอาวุธกลับติดลบที่ 0.96%YoY พร้อมคงเป้าการส่งออกไทยปีนี้ไว้ที่่ติดลบ 8% จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลก ค่าเงินมีแนวโน้มกลับแข็งค่า และประเด็นสงครามการค้า (กรุงเทพธุรกิจ)
• (watch) ติดตามรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากกระทรวงพาณิชย์เช้าวันนี้
• รายงาน สธ.ประจำวันที่ 3 มิ.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,084 ราย เสียชีวิตรวม 58 ราย
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.86% (4.9% DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.28% (2.4% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.74% (12.8% DoD)
• ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 67.1 บ. หรือลดลง 34.2%YTD
• Update Flow เมื่อวานนี้ต่างชาติพลิกซื้อสุทธิเป็นวันที่สามติดกันอีก 2,089.51 ลบ.ส่งผล MTD.ซื้อสุทธิอยู่ที่ 3,483.43 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 1,049.62 ลบ.ส่งผล MTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 2,448.03 ลบ.
Investment Strategy
ช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้ เรามีมุมมองต่อ SET มีโอกาสดีดตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 1,390-1,400 จุด จากปัจจัยหนุน 1) การออกมาตรการผ่อนคลายเฟสสาม และแนวโน้มการผ่อนมาตรการควบคุมในเฟสถัดไปหลังรายงานจาก ศบค.สะท้อนการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง 2) สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกเริ่มคลี่คลายทั้งด้าน อุปสงค์จากการกลับมาเคลื่อนไหวกิจกรรมเศรษฐกิจหลังมาตรการผ่อน Lockdown และด้านอุปทานจากปรับลดกำลังผลิตลงตามข้อตกลงของ OPEC+ บวกกับรายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ 3)แรงหนุนด้านสภาพคล่องในตลาดจากมาตรการทางการเงินของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก อย่างไรก็ดีควรระมัดระวังแรงขายเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงหลัก ดังนี้ 1) ความกังวลสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่อ่อนไหวมากขึ้น หลังฝั่งสหรัฐฯยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ฮ่องกง ตอบโต้ที่จีนอกกฎหมายควบคุมฮ่องกงเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากต่างชาติ 2) สถานการณ์การประท้วงที่รุนแรงและขยายวงกว้างจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของฟลอยด์ และ 3) การทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทฯ จดทะเบียนหลังสิ้นสุดรายงานผลประกอบการช่วง 1Q63 คาดกดดันต่อการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET ในลำดับต่อมา ส่งผลต่อ Valuation ตลาดที่ตึงตัว ฉะนั้นแนะนำเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เล่นเทรดดิ่งตามกรอบเน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน ประเมินกรอบเคลื่อนไหว 1,360-1,390 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (แม้กำไรสุทธิ 1Q63 ทำได้ 24.6 ลบ.ชะลอตัว 3.4% YoY แต่ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 12.8X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 41.6X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พัน ลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.02X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 5.05%), SEAFCO (รายงาน 1Q63 กำไร 94.41 ลบ +11%QoQ และ -21.4YoY ) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL รายงานกำไร 1Q63 ที่ 5.64 พัน ลบ. (-2%YoY, -8%QoQ) ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ลูกค้าลดลง และมาตรฐาน บช.ใหม่เรื่องสัญญาเช่ามีต้นทุนเพิ่ม 308 ลบ. อย่างไรก็ดีรายได้รวมยังโต 5%YoY จากการเปิดสาขาใหม่ และรายได้ Banking agent ที่เติบโต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ MAKRO ที่ได้ประโยชน์จากช่วง COVID-19 ทั้งนี้การกลับมาผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐจะช่วยให้ 2H63 กำลังซื้อจะฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งการเข้าซื้อ TESCO LOTUS ในระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและ ปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการ1Q63 กำไร 70.4 ลบ -15.3%QoQ และ-12%YoY จากรายได้ที่ลดลง 16.3%QoQ และ 12.7%YoY เนื่องจากผลกระทบ COVID-19 ทำให้ช่องทางขายหน้าร้านที่เป็นช่องทางขายหลักถูกปิดไปในช่วง 22/3/63 ตามคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้าของภาครัฐ อย่างไรก็ดียอดขายในส่วน NSR 99.8 ลบ +9%YoY ทำให้สัดส่วนขึ้นมาเป็น 15% ของยอดขายรวม รวมถึงช่องทางขาย Export +31.3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 52.9% จากการผลิตที่น้อยลง และการชะลอนำเข้าสินค้าจากจีน และ SG&A/Sales ลดลง 10%YoY จากการควบคุมต้นทุนภายในที่ทำได้รวดเร็วหลังเกิดสถานการณ์ COVID แนวโน้ม 2Q63มีโอกาสอ่อนตัวต่อ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการขายแบบ NSR เพื่อชดเชยการขายหลักที่ถูกปิดไปในช่วงเมษ-พค และคาดยอดขายจะเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2H63, SSP ช่วง 1Q63 มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 161.2 ลบ. โต 24.3%YoY ผบห.คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมปจบ.กว่า 160 MW.พร้อมวางแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ในเวียดนาม และเตรียมเข้าลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้า 400 MW.ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
• Trading Idea
• หุ้นที่คาดฟื้นตัวเด่นจากการคลาย Lock Down : เลือก BTSGIF โดยได้ปัจจัยหนุนโดยตรงจากการผ่อน Lock Down และการกลับมาเปิดภาคการเรียน 1 ก.ค.63 นี้ตามประกาศของกระทรวงศึกษาฯ หนุนยอดผู้โดยสารรวมฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ(ค่าเฉลี่ยรายเดือนปี 62 ที่ระดับ 20.6 ล้านเที่ยวคน) คาด Ridership ช่วงเดือน เม.ย.ที่ 3.5 ล้านเที่ยวคนเป็นจุดต่ำสุดแล้ว บวกกับจ่ายผลสม่ำเสมอ ให้ Div.Yield ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 6.7% นอกจากนี้ราคาปจบ.มี discount 18.7%จากราคาประเมิน NAV.ล่าสุดตามรายงานตลท.เมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ราคา 9.2273 บ./หน่วย
• กลุ่มผู้ให้บริการปั๊มน้ำมัน : แนะนำเก็งกำไร SUSCO, PTG ด้วยสองปัจจัยหนุน 1) ได้รับประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ของภาครัฐทำให้ประชาชนเริ่มออกมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันมากขึ้นหนุนอุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 2) อุปทานที่ลดลงหนุนราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวขึ้นตอบรับการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ Russia เริ่มลดกำลังผลิตแล้วในเดือน พ.ค.นี้ ช่วยลดความกังวลเรื่องการขาดทุนสต็อกน้ำมันในช่วง 2Q63
2-Jun-20 Change (pts.) 1-Jun-20
SET Index 1,374.18 21.81 1,352.37
SET50 Index 919.05 17.60 901.45
SET100 Index 2,026.48 37.60 1,988.88
High 1,374.29 Gainers 899
Low 1,357.23 Unchanged 324
Value (Bt m) 70,987.07 Losers 516
Volume (*000) 17,130,159
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 20.5 16.4 16.4
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -20.1
EV/EBITDA (x) 13.1 11.3 10.4
FWD PBV (x) 1.5 1.5 1.4
Dividend Yield (%) 2.7 3.0 3.3
ROE 7.0 8.3 8.5
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 2-Jun-20 WTD MTD YTD
Institution 1,049.62 2,448.03 2,448.03 70,034.12
Proprietary 972.98 1,389.34 1,389.34 (1,140.17)
Foreign 2,089.51 3,483.44 3,483.44 (190,445.67)
Individual (4,112.11) (7,320.81) (7,320.81) 121,551.72
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web