- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 26 May 2020 11:54
- Hits: 3825
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 26-5-2020
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
วานนี้ SET แกว่งขึ้น โดยมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่ม laggard มากขึ้น เช่น นิคมอุตสาหกรรม, อสังหาริมทรัพย์ ขณะที่กลุ่มพลังงาน ไฟฟ้า ยังพยุงดัชนีได้ดีเช่นกัน โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,320.98 (+17.01จุด) มูลค่าการซื้อขาย 5.4 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 6.4 หมื่นล้านบาท) โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย156ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,406 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 4,932 สัญญา)
SPRC (ราคาเป้าหมาย 8.0 บาท) คาดกำไร 2Q63 โดดเด่นขานรับ ค่าการกลั่นในไตรมาส 2Q20 ที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (4-5 USD/bbl เทียบ 1.28 USD ช่วง 1Q20) จากการฟื้นตัวของ gasoline spreadและส่วนลดราคาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง
เน้นหุ้น Laggard ที่คาดจะได้แรงขับเคลื่อนจากนโยบายรัฐฯ : การแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี กดดันการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้อย่างมาก โดยต้นปี SET แกว่งบริเวณ 1600 จุด และปรับตัวลดลงมาอย่างรุนแรงในช่วงเวลาถัดมาจนไปทำจุดต่ำสุดบริเวณ 969 จุด ในช่วงกลางเดือนมีนาคม หลังจากนั้นรัฐบาลพยายามที่จะควบคุมการแพร่กระจายของ COVID-19 โดยออกมาตรการปิดเมือง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ส่งผลให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เข้าสู่จุดที่ดีขึ้น สะท้อนจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของไทยลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงนำมาสู่การเริ่มปลด Lockdown เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นอีกครั้ง
โดย SET ก็รีบาวน์ขึ้นต่อเนื่องจากความคาดหวังเชิงบวกจนมาถึงปัจจุบันที่ระดับ 1320 จุด (คิดเป็นการฟื้นตัวด้วยสัดส่วน 56% ของ index ที่ลดลงตั้งแต่ต้นปี) อย่างไรก็ดีหากพิจารณาหุ้นใน SET100 จะพบว่ามีหลายบริษัทยังฟื้นตัวได้ช้ากว่า SET ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้รับผลกระทบหนักจาก COVID-19 แต่เราเชื่อว่าในช่วงถัดไปภาครัฐจะพยายามขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นต่างๆ ดังนั้นน่าจะเป็นโอกาสดีในการทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม laggard ที่คาดกำไรจะฟื้น เช่น อสังหา (AP, LH, SPALI), นิคม (AMATA), พลังงาน (SPRC, TOP), โรงพยาบาล (BDMS), ขนส่ง (AOT), สื่อสาร (ADVANC), ไฟแนนซ์ (THANI), โรงแรม (ERW), อิเล็กทรอนิกส์ (KCE)
Investment Strategy :
วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น ประเมิน แนวรับ 1,305 ต้าน 1,340 จุด เน้นกลุ่ม Laggard ที่คาดได้แรงหนุนจากนโยบายรัฐ โดยวันนี้แนะนำ “SPRC, SPALI, ERW, KCE”
ปัจจัยในประเทศ :
ติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19
28 พ.ค. ประชุม กสทช.
29 พ.ค. ภาวะเศรษฐกิจไทยรายเดือนจาก BOT, MSCI Rebalance (อาจผันผวนช่วงท้ายตลาด)
SET Index : มีโอกาสขึ้นทดสอบ High เดิมที่ 1333 จุด
SET Index ปิดที่ระดับ 1320.98 จุด (+17.01 จุด)
- • ดัชนีขึ้นมาปิดเหนือระดับ 1315 จุด ทำให้ภาพเป็นการปรับตัวขึ้นต่อตามทิศทางของแนวโน้มเดิมที่เป็นเชิงบวก
- • รอบนี้มีโอกาสขึ้นทดสอบ High เดิมอีกครั้งที่บริเวณ 1333 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
มีหุ้น : ถือต่อ รอทยอยทำกำไรที่บริเวณแนวต้าน 1360 จุด หากหลุด 1286 จุด แนะนำเก็บกำไร
ไม่มีหุ้น : สามารถเข้าเล่นรอบ หลังดัชนีกลับมายืน 1300 จุดได้ โดยมีแนวต้านรอขายที่ 1333 จุดหากหลุด 1286 จุด ชะลอการลงทุน
TU แจ้ง รง. แปรรูปกุ้งฯ ในแคนาดาเกิดไฟไหม้ ย้ำมีทำประกันอุบัติภัย (ข่าวหุ้น)
ความเห็น :คาดผลกระทบจำกัดต่อผลประกอบการของ TU จากการที่กำไรมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของกำไรรวม อย่างไรก็ดี เราคาดว่า TU มีกำไรชะลอลงจากการปิดสาขา Red Lobster ในช่วงการระบาดของโควิด-19 และยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งยังมีแนวโน้มลดลง เราแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 14.10 บาท
BAM เข้าคำนวณฟุตซี่ RBF เปล่งรัศมีติดด้วย (ข่าวหุ้น)
ความเห็น : แม้ผลประกอบการของ BAM อาจะเห็นการชะลอตัว 15-20%QoQ ตามเงินสดเรียกเก็บที่ลดลงโดยเฉพาะธุรกิจสินทรัพย์รอการขาย ที่อุปสงค์ชะลอตัวลงตามผลกระทบ COVID-19 แต่เรายังชอบ BAM ในแง่ Business model ที่เอาตัวรอดและขยายตัวได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และโอกาสฟื้นตัวในครึ่งปีหลังถึงปีหน้า แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 25 บาท
รายวัน 360 องศา)
ความเห็น : สัญญา 2.3 วงเงิน 5.06 หมื่นล้าน เป็นงานระบบรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งจะซื้อจากจีน บริษัทรับเหมาไทยจึงไม่ได้ประโยชน์ โดยการประมูลงานโยธารถไฟไทย-จีน ปรากฏว่า มีการแข่งขันสูง ซึ่งประมูลต่ำกว่าราคากลาง 13%-20% ให้น้ำหนักกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเท่าตลาด แนะนำเก็งกำไรในช่วงอ่อนตัว CK (เป้าหมาย 24 บาท) และ STEC (เป้าหมาย 20 บาท)
MCS รับงานใหม่โบรกประเมินงบเคาะพิกัด 11.50 บ. (ทันหุ้น)
ความเห็น : โครงการนี้จะช่วยเติม Backlog ไม่มากนักอีก 5,000 ตัน เป็น 115,000 แสนตัน นอกจากนี้ปัจจุบันกำลังเจรจาโครงการขนาดใหญ่ที่ญี่ปุ่นเพิ่มซึ่งเป็นงานเหล็กโครงสร้างประมาณ 70,000 ตัน และ มีราคาดีถึง 300,000 เยน/ตัน เราคงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 11.5 บาท
ทรุดหนักช่วงโควิด (กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น : การลดภาษีสรรสามิตรถยนต์ จะช่วยให้ราคารถยนต์ถูกลง เหมือนกรณีรถยนต์คันแรก ที่ขอคืนภาษีสรรพสามิตได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แต่เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน เราคงคาดยอดผลิตรถยนต์ในปีนี้จะลดลง 30% หรือ 1.4 ล้านคัน ให้น้ำหนักกลุ่มยานยนต์น้อยกว่าตลาด (NEGATIVE)
Sahakol Equipment (SQ)
กำไร 2Q63 จะโต YoY ปีนี้จะฟื้นตัวดี
Company Update
ประเด็นการลงทุน
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q63 จะยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเติบโตต่อจากปีก่อน จากปริมาณขุดขนดินและถ่านหินโครงการแม่เมาะ 8 และ หงสา ที่เพิ่มขึ้น ส่วนโครงการแม่เมาะ 7 ที่จบโครงการได้บันทึกค่าใช้จ่ายไปหมดแล้ว ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น ประเมินกำไรในปีนี้ 236 ล้านบาท ฟื้นตัวจากปีก่อนที่มีกำไรเพียง 1 ล้านบาท SQ เหลือ Backlog ปัจจุบันที่สูง 2.6 หมื่นล้านบาท สามารถรองรับรายได้ถึงปี 2569 คงแนะนำ TRADING BUY ประเมินราคาเป้าหมาย 2.70 บาท
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q63 จะเติบโตต่อจากปีก่อน
ผู้บริหารประเมินไตรมาส2Q63ปริมาณขุดขนดินและถ่านหิน โครงการแม่เมาะ 8 และ หงสา จะมากขึ้นจากไตรมาส1Q63 เนื่องจากโครงการแม่เมาะ 8 มีเครื่องจักรแม่เมาะ 7 ที่จบโครงการแล้วเข้ามาช่วย ทำให้ปริมาณขุดขนดินจะเพิ่มเป็น 13.8 ล้านคิว (+2%QoQ, +19%YoY) ส่วนปริมาณขุดขนถ่านหินจะทรงตัวที่ 1.2 ตันตัน (-3%QoQ, +6%YoY) โครงการหงสา มีการปรับเปลียน Conveyor เพียง 7วัน เทียบกับ 1Q63 ปรับเปลี่ยนถึง 22วัน ทำให้ปริมาณขุดขนดินจะเพิ่มเป็น 4.5 ล้านคิว (+45%QoQ, 0%YoY) สำหรับโครงการแม่เมาะ 7 ได้จบโครงการแล้ว และ ได้บันทึกค่าใช้จ่ายหมดแล้ว แต่ยังเหลือการตีค่าสินทรัพย์เมื่อเทียบกับมูลค่าตามบัญชี ซึ่งยังไม่ชัดเจนจะมากกว่าหรือน้อยกว่า เบื้องต้นเราประเมินกำไร 2Q63 จะยังอยู่ในเกณฑ์ดี 70-80 ล้านบาท ดีขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไร 58 ล้านบาท แต่จากลดลงจากไตรมาสก่อนที่มีกำไร 101 ล้านบาท จากไตรมาส 1Q63 มีรายการพิเศษทางภาษีเข้ามาช่วย
ผลประกอบการรวมปี 2563 จะฟื้นตัว ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น
SQ เหลือ Backlog ปัจจุบัน 2.6 หมื่นล้านบาท สามารถรองรับรายได้ถึงปี 2569 แนวโน้มปี 2563 ปริมาณขุดขนดินและถ่านหิน โครงการแม่เมาะ 8 และ หงสา จะเพิ่มมากขึน จากการบริหารจัดการได้ดีขึ้น โดยโครงการหงสาได้งาน ใหม่ คือ Conveyor Line O&M เข้ามาเพิ่มในปีนี้ 300 ล้านบาท ส่วนโครงการแม่เมาะ 7 ได้จบโครงการไปแล้วในเดือน ม.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มตามที่กังวลก่อนหน้านี้ เราปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น18% คาดกำไรในปีนี้236ล้านบาท ฟื้นตัวจากปีก่อนที่มีกำไรเพียง1ล้านบาท จากปีก่อนมีค่าไฟโครงการแม่เมาะ 7 ที่สูงถึง 350 ล้านบาท
คงแนะนำ TRADING BUY เพิ่มเป้าหมายเป็น 2.70 บาท
ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ที่ถูก โดย ซื้อขาย P/E ปีนี้ที่ต่ำ 9.9 เท่า และ P/BV เท่ากับ 1.0 เท่า เราประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF (WACC = 8%) เท่ากับ 2.70 บาท เพิ่มจาก 2.50 จากประมาณการที่ปรับขึ้น คงแนะนำ TRADING BUY
ความเสี่ยง : ค่าแรงขั้นต่ำ อุปสรรคหน้างาน ต้นทุนมากกว่าประเมิน ภาระหนี้สูง
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web