- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 25 May 2020 13:30
- Hits: 2225
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 25-5-2020
: Daily Focus AECS Daily Focus
Market Outlook
วันนี้คาด SET Index แกว่งพักตัว หลังถูกกดดันจาก Sentiment ลบจากประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนมีความอ่อนไหวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศถูกกดดันจาก Valuation ที่มีความตึงตัว บวกกับแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจเสี่ยงทรุดตัวแรงในช่วง 2Q63 ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,280-1,310 จุด
Market Factor
- • (0) วันนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุด Memorial Day นอกจากนี้อังกฤษ สิงคโปร์ และอินเดียตลาดปิดทำการจากการเป็นวันหยุด
- • (watch) จีนเสนอกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ โดยเป็นกฎหมายที่กำหนดพฤติกรรมการแบ่งแยกดินแดน การทำลายอำนาจรัฐบาลกลาง กิจกรรมที่ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงฮ่องกงและให้รัฐบาลปักกิ่งสามารถตั้งหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกงได้ เป็นต้น คาดสภาประชาชนแห่งชาติจีนจะโหวตผ่านร่างกฎหมายในการประชุมวันที่ 28 พ.ค.63 และหากโหวตผ่านจะบังคับใช้ในเดือน มิ.ย.
- • (watch) จับตาตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน คาดปรับลงเนื่องจากการแพร่รระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
- • (-) สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนตึงเครียดมากขึ้น หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เตรียมขึ้นบัญชีดำบริษัทและสถาบันของจีนรวม 33 แห่ง หลังสหรัฐฯ อ้างว่าเป็นสายลับสอดแนมเรื่องชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ให้กับรัฐบาลจีน ซึ่งจะทำให้บริษัทถูกจำกัดการเข้าถึงสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เทคโนโลยีสหรัฐฯ และผู้ที่จะขายสินค้าให้บริษัทจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อน
- • (-) กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกเดือน เม.ย. ขยายตัว 2.12%YoY สวนทางตลาดคาดหดตัวในช่วงติดลบ 3.0 - 4.6% โดยมีสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารที่ยังสามารถขยายตัวได้ อย่างไรก็ดีหากหักสินค้าเกี่ยวกับน้ำมัน ทองคำ และอาวุธออกส่งผลให้ภาพส่งออกเดือน เม.ย.หดตัวถึง 7.53% และภาพรวมที่เดือนแรกปี63 หดตัว 0.96% (Hoomsmart)
- • (-) เครดิตบูโร เผยตัวเลข NPL ในช่วง 1Q63 เพิ่มขึ้นมาที่ 9.5 แสนล้านบาท จาก 7.7 แสนล้านบาทYoY จาก 2 กลุ่มสินเชื่อที่น่าเป็นห่วง จากสินเชื่อรถยนต์ที่มีหนี้ NPL เพิ่มขึ้นมาที่ 6.2% จาก 5.9% ณ สิ้นปี 62 ขณะที่สินเชื่อบ้านมีการปล่อยสินเชื่อใหม่ ลดลงและพบว่ากว่า 64% เป็นกลุ่ม Gen Y ที่มีแนวโน้มค้างชำระค่อนข้างสูง รวมถึงมีแนวโน้มเป็น NPL มากขึ้นจาก 4.6% ช่วง 1Q62 มาอยู่ที่ 5% ใน1Q63 คาดปีนี้จะมีการเปิดบัญชีเงินกู้ใหม่ลดลงมากเนื่องจากธนาคารกังวลปัญหา NPL รวมถึงตัวเลขการปรับโครงสร้างหนี้ที่เพิ่มสูงต่อเนื่อง (ประชาชาติธุรกิจ)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 24 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 0 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,040 ราย เสียชีวิตรวม 56 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.71% (-5.3%DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.10% (-6% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.65% (-3% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 68.1 บ. หรือลดลง 33.1%YTD
- • Update Flow เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 1,999.74 ลบ.ส่งผล MTD. ขายสุทธิอยู่ที่ 33,092.72 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันขายสุทธิ 2,991.13 ลบ.ส่งผล MTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 9,125.77 ลบ.
Investment Strategy
สัปดาห์นี้ เรามีมุมมองต่อ SET เข้าสู่โหมดพักตัว โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,270- 1,310 จุด โดยแม้มีปัจจัยหนุนจาก 1) สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกเริ่มคลี่คลายทั้งด้านอุปสงค์จากการกลับมาเคลื่อนไหวกิจกรรมเศรษฐกิจหลังมาตรการผ่อน Lockdown และด้านอุปทานจากปรับลดกำลังผลิตลงตามข้อตกลงของ OPEC+ บวกกับรายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง 2) การออกมาตรการผ่อนคลายเฟสสอง และแนวโน้มการผ่อนมาตรการควบคุมในเฟสถัดไปหลังรายงาน ศบค.ชี้การควบคุมสถานการณ์มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีคาดจะถูกชะลอด้วยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิด ดังนี้ 1) ความกังวลสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่อ่อนไหวมากขึ้น หลังฝั่งสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำบริษัทและสถาบันจีน 33 แห่ง รวมถึงการกล่าวหาจีนกรณีเป็นต้นตอของสถานการณ์การแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 ขณะที่ฝั่งจีนเตรียมออกกฎหมาย กำหนดให้ฮ่องกงต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติโดยเร็วเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากต่างชาติ 2) รายยงานตัวเลขเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐฯ และยุโรป ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่อง และ 3) การทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทฯ จดทะเบียนหลังสิ้นสุดรายงานผลประกอบการช่วง 1Q63 คาดกดดันต่อการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของ SET ในลำดับต่อมา แนะนำเลือกเก็งกำไรช่วงสั้น เน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวใกล้โซนแนวรับ และทยอยลดพอร์ตเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (แม้กำไรสุทธิ 1Q63 ทำได้ 24.6 ลบ.ชะลอตัว 3.4% YoY แต่ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 12.8X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 41.6X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180 วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.02X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 5.05%), SEAFCO (รายงาน 1Q63 กำไร 94.41 ลบ +11%QoQ และ -21.4YoY ) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upside จากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL รายงานกำไร 1Q63 ที่ 5.64 พัน ลบ. (-2%YoY, -8%QoQ) ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ลูกค้าลดลง และมาตรฐาน บช.ใหม่เรื่องสัญญาเช่ามีต้นทุนเพิ่ม 308 ลบ. อย่างไรก็ดีรายได้รวมยังโต 5%YoY จากการเปิดสาขาใหม่ และรายได้ Banking agent ที่เติบโต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ MAKRO ที่ได้ประโยชน์จากช่วง COVID-19 ทั้งนี้การกลับมาผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐจะช่วยให้ 2H63 กำลังซื้อจะฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งการเข้าซื้อ TESCO LOTUS ในระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและ ปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการ1Q63 กำไร 70.4 ลบ -15.3%QoQ และ-12%YoY จากรายได้ที่ลดลง 16.3%QoQ และ 12.7%YoY เนื่องจากผลกระทบ COVID-19 ทำให้ช่องทางขายหน้าร้านที่เป็นช่องทางขายหลักถูกปิดไปในช่วง 22/3/63 ตามคำสั่งปิดห้างสรรพสินค้าของภาครัฐ อย่างไรก็ดียอดขายในส่วน NSR 99.8 ลบ +9%YoY ทำให้สัดส่วนขึ้นมาเป็น 15% ของยอดขายรวม รวมถึงช่องทางขาย Export +31.3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 52.9% จากการผลิตที่น้อยลง และการชะลอนำเข้าสินค้าจากจีน และ SG&A/Sales ลดลง 10%YoY จากการควบคุมต้นทุนภายในที่ทำได้รวดเร็วหลังเกิดสถานการณ์ COVID แนวโน้ม 2Q63มีโอกาสอ่อนตัวต่อ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการขายแบบ NSR เพื่อชดเชยการขายหลักที่ถูกปิดไปในช่วงเมษ-พค และคาดยอดขายจะเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2H63, SSP ช่วง 1Q63 มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 161.2 ลบ. โต 24.3%YoY ผบห.คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมปจบ.กว่า 160 MW.พร้อมวางแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ในเวียดนาม และเตรียมเข้าลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้า 400 MW.ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
- • • Trading Idea
- • หุ้นที่คาดฟื้นตัวเด่นจากการคลาย Lock Down : เลือก BTSGIF โดยได้ปัจจัยหนุนโดยตรงจากการผ่อน Lock Down และการกลับมาเปิดภาคการเรียน 1 ก.ค.63 นี้ตามประกาศของกระทรวงศึกษาฯ หนุนยอดผู้โดยสารรวมฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ(ค่าเฉลี่ยรายเดือนปี 62 ที่ระดับ 20.6 ล้านเที่ยวคน) คาด Ridership ช่วงเดือน เม.ย.ที่ 3.5 ล้านเที่ยวคนเป็นจุดต่ำสุดแล้ว บวกกับจ่ายผลสม่ำเสมอ ให้ Div.Yield ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 6.7% นอกจากนี้ราคาปจบ.มี discount 18.7%จากราคาประเมิน NAV.ล่าสุดตามรายงานตลท.เมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ราคา 9.2273 บ./หน่วย
- • กลุ่มผู้ให้บริการปั๊มน้ำมัน : แนะนำเก็งกำไร SUSCO, PTG ด้วยสองปัจจัยหนุน 1) ได้รับประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ของภาครัฐทำให้ประชาชนเริ่มออกมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจกันมากขึ้นหนุนอุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 2) อุปทานที่ลดลงหนุนราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวขึ้นตอบรับการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ Russia เริ่มลดกำลังผลิตแล้วในเดือน พ.ค.นี้ ช่วยลดความกังวลเรื่องการขาดทุนสต็อกน้ำมันในช่วง 2Q63
22-May-20 Change (pts.) 21-May-20
SET Index 1,303.97 -16.72 1,320.69
SET50 Index 867.81 -14.16 881.97
SET100 Index 1,911.21 -28.29 1,939.50
High 1,311.54 Gainers 470
Low 1,286.76 Unchanged 317
Value (Bt m) 64,469.56 Losers 941
Volume (*000) 16,730,935
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 19.1 15.4 15.4
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -18.7
EV/EBITDA (x) 12.4 10.8 9.8
FWD PBV (x) 1.5 1.4 1.3
Dividend Yield (%) 2.9 3.2 3.5
ROE 6.9 8.2 8.6
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 22-May-20 WTD MTD YTD
Institution (2,991.13) 6,345.18 9,125.77 58,873.85
Proprietary (291.78) 655.80 (33.19) (2,870.82)
Foreign (1,999.74) (10,964.72) (33,092.72) (195,423.49)
Individual 5,282.65 3,963.74 24,000.14 139,420.47
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web