- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 20 May 2020 15:18
- Hits: 3049
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 20-5-2020
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
วานนี้ SET ปรับตัวขึ้น จากความคาดหวังเชิงบวกของพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีน หนุนแรงเก็งกำไรในหุ้นที่กระทบหนักจาก COVID-19 ฟื้นตัว โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,309.95 (+23.42 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 7.9 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 5.6 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 892 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 4,411 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 6,644 สัญญา)
GPSC (ราคาเป้าหมาย consensus 80 บาท) ต้นทุนราคา gas ที่ปรับลดลงแรงคาดจะช่วยชดเชยรายได้ขายไฟในนิคมฯ ที่หายไปบางส่วน ผสานกับส่วนแบ่งรายได้จากโครงการไซยะบุรีที่คาดจะดีขึ้นในช่วง 2Q63-3Q63 จากปริมาณน้ำในเขื่อนเริ่มเดือน เม.ย. ปรับตัวสูงขึ้น +40%MoM
คาด กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.75% : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ทะลุแนวต้านเชิงจิตวิทยาที่ 1300 จุด เพิ่ม sentiment เชิงบวกต่อ SET index โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดคือ ความคาดหวังเชิงบวกต่อพัฒนาการของ COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้าในการทดลองวัคซีน หรือตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ล้วนแล้วทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศยังสามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งถ้าหากไทยสามารถทำได้ดีเช่นนี้ ก็คาดว่า SET ยังคงมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นได้ในช่วงถัดไป
ส่วนวันนี้ประเด็นที่น่าติดตามคือ การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ (กว่า 87%) คาด กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ แต่ในมุมมองของเราคาด กนง. จะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75% ตามเดิม เนื่องจากเราประเมินว่า 1) นโยบายทางการเงินไม่สามารถที่จะตอบโจทย์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อว่าควรใช้นโยบายการคลังซึ่งจะกระตุ้นได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากกว่า 2) การเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น (policy space) โดยคาดเศรษฐกิจช่วง 2Q63 อาจอ่อนแอมากกว่านี้ 3) การช่วยเหลือประชาชนในเรื่องภาระดอกเบี้ยโดยผ่านช่องทางอื่น เช่น ลดการนำส่งเงินเข้ากองทุน FIFD เป็นต้น
Investment Strategy :
วันนี้คาด SET แกว่ง sideway ประเมิน แนวรับ 1,300 ต้าน 1,320 จุด แนะเก็งกำไรหุ้นที่ยังคงมีสตอรี่บวก โดยวันนี้แนะนำ “GPSC, CPN, JMART, CHG”
ปัจจัยในประเทศ :
ติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19
20 พ.ค. การประชุม กนง.
22 พ.ค. การส่งออกไทย (เม.ย.)
แนวรับ : 1300/1295
แนวต้าน : 1317/1320
DRT ลุยป้อนสินค้า เตรียมรับดีมานด์ ร้านวัสดุก่อสร้าง (ไทยโพสต์)
ความเห็น : ลูกค้าโมเดิร์นเทรดมีสัดส่วนลดลงเหลือประมาณ 15-16% จากปีก่อน 18% จากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด Covid-19 การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จะทำให้ลูกค้าโมเดริน์เทรดดีขึ้น ราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมาใกล้ระดับซื้อหุ้นคืนที่ 5.5 บาท แนะนำ ซื้อลงทุนในช่วงอ่อนตัว ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท
โอสถสภา' ลีนองค์กรสู้โควิด หั่นรายจ่าย 800 ล.รุกดีลิเวอรี่ (ประชาชาติธุรกิจ)
ความเห็น : OSP เร่งโครงการ Fit Fast Firm ซึ่งคาดว่าปีนี้จะลดต้นทุนได้มากกว่า 800 ล้านบาท ผลประกอบการเดือน เม.ย. ยอดขายชะลอลง แต่เริ่มฟื้นตัวในเดือน พ.ค. และยอดขายจะเร่งตัวขึ้นใน 2H63 หลังจากผ่อนคลายล็อกดาวน์ และการขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่ม 10-15% แนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 50 บาท
TPCH บุ๊กอีก 23 MW โรงไฟฟ้าปัตตานี (ข่าวหุ้น)
ความเห็น : โรงไฟฟ้านี้ล่าช้ามา 3 เดือนเนื่องจาก COVID-19 ทำให้การทดสองจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบล่าช้าออกไป อย่างไรก็ดี การ COD วานนี้ จะช่วยยกให้ฐานการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 39% เป็น 73.8MW ทำให้ภาพปีนี้กำไรจะขยายตัวสดใส โดยไตรมาส 2 คาดกำไรจะเริ่มออกตัวโต QoQ และ YoY อย่างสวยงาม คงคำแนะนำ ซื้อ 14.90 บาท
Somboon Advance Technology (SAT)
กำไรปีนี้ถูกกระทบจาก Covid-19 หนัก
Company Update
ประเด็นการลงทุน
1Q63 กำไรลดลงเหลือ 191 ล้านบาท (-10%QoQ, -34%YoY) แต่ดีกว่าที่เราคาด การแพร่ระบาดของ Covid-19 จะทำให้ยอดขายของ SAT ปี 2563 ลดลง 30% เหลือ 5,604 ล้านบาท และมีกำไรเท่ากับ 478 ล้านบาท ลดลง 47%YoY กำไร 1Q63 คิดเป็น 40% ของประมาณการ ราคาหุ้นทรุดหนัก 29% นับจากต้นปี ซื้อขายบน Valuation ปี 2563 ที่ถูก P/E 9.9 เท่า P/BV 0.7 เท่า และ มีเงินปันผลตอบแทน 6.6% เราคงแนะนำ ซื้อลงทุน คาดปีหน้าจะฟื้นตัว เราประเมินราคาเป้าหมาย 15 บาท บนค่าเฉลี่ยกำไรปี 2563/64 และ บนฐานค่าเฉลี่ย 10 ปี Forward P/E = 10 เท่า
1Q63 กำไรลดลงเหลือ 191 ล้านบาท แต่ดีกว่าเราคาด
SAT ประกาศผลประกอบการ 1Q63 มีกำไรสุทธิที่ลดลงเหลือ 191 ล้านบาท (-10%QoQ, -34%YoY) แต่ดีกว่าที่เราคาดจะมีกำไร 177 ล้านบาท กำไรที่ปรับลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 และ ภาวะทรุดตัวลงของอุตสาหกรรมรถยนต์เหลือ 146,812 คัน (+3%QoQ, -19%YoY) ทำให้ยอดขายของ SAT ปรับลดลงเหลือ 1,831 ล้านบาท (-3%QoQ, -17%YoY) ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นสามารถทรงตัวดีได้ 18.3% เทียบกับ 18% ในไตรมาสก่อน และ 19.7% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารควบคุมได้ดี 161 ล้านบาท (-15%QoQ, -13%YoY)
Covid-19 กระทบไตรมาส2Q63หนัก และ ต่อเนื่องครึ่งปีหลัง
ผู้บริหารประเมินยอดผลิตรถยนต์ปีนี้จะลดลงเหลือ 1.3 ล้านคัน (-35%YoY) เนื่องจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 เดือน เม.ย. ค่ายรถยนต์หยุดผลิตชั่วคราว ปัจจุบันสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน พ.ค. ลูกค้าหลักของ SAT คือ โตโยต้า และ มิตซูบิชิ เริ่มกลับมาผลิตทุกโรงงาน แต่ยังผลิตไม่เต็มที่ รวมแล้ว แนวโน้มไตรมาส 2Q63 ยอดผลิตรถยนต์มีแนวโน้มจะทรุดลงประมาณ 60-70%YoY ผู้บริหารระบุจุดคุ้มทุนคืออัตราการใช้กำลังการผลิตประมาณ 40-50% คาดครึ่งหลังปี 2563 จะฟื้นตัวจากไตรมาส 2Q63 แต่ยังยังต่ำกว่าครึ่งหลังปี 2562 เราคาดยอดขายของ SAT ปี 2563 เท่ากับ 5,604 ล้านบาท ลดลง 30%YoY และมีกำไรเท่ากับ 478 ล้านบาท ลดลง 47%YoY
เงินสดในมือสูง รองรับวิกฤต คาดปี 2564 จะฟื้นตัว
SAT มีเงินสดในมือสุทธิสูงถึง 2 พันล้านบาท เทียบกับมูลค่าตลาด 4.7 พันล้านบาท รองรับวิกฤตถ้าหากสถานการณ์ Covid-19 ลากยาว แม้ว่าปีนี้กำไรจะทรุดลงหนัก เราคาดยังมีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ดี 6.6% โดยปี 2564 คาดอุตสาหกรรมรถยนต์จะฟื้นตัว 1.7-1.8 ล้านคัน โต 21-28% แม้ว่ายังไม่กลับมาระดับปกติประมาณ 2 ล้านคัน ทำให้ กำไรปี 2564 คาดจะฟื้นตัว 691 ล้านบาท (+44%YoY) ซึ่งยังต่ำกว่าระดับปกติที่เคยทำกำไรได้ 800-900 ล้านบาท
ความเสี่ยง : อุตสาหกรรมรถยนต์ชะลอตัวทั้งในและต่างประเทศ / ต้นทุนวัตถุดิบ
Synnex (Thailand) (SYNEX)
ผ่านช่วงที่ดีที่สุดของปี
Rating Change
ประเด็นการลงทุน
เรามองกำไร SYNEX ใน 1Q63 เป็นช่วงที่ดีที่สุดได้ผ่านพ้น ขณะผลกระทบของ COVID-19 จะเริ่มกระทบหลังจากนี้ แม้เราไม่กังวลเรื่องสภาพคล่องบริษัทที่ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าของสินค้า แต่การสูญเสียโมเมนตัมกำไรในช่วงที่เหลือของปี ที่จะฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า ด้วยสินค้าใหม่ที่จะทยอยออกมาใน 3-6 เดือนข้างหน้าไม่น่าสนใจพอที่จะเร่งอุปสงค์ให้กลับมาไว และผลกระทบของ Huawei จากสงครามการค้าที่เป็นที่พูดถึงอีกครั้ง สวนทางกับราคาที่ปรับตัวขึ้นมาใกล้ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ทำให้ความน่าสนใจลดลง เราปรับลดคำแนะนำลงเป็น ถือ ราคาเหมาะสม 6.55 บาท อิง P/E’63F = 12 เท่า
กำไร 1Q63 ดีกว่าคาด แต่ผลดำเนินงานจริงไม่ตื่นเต้น
รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q63 ที่ 132 ลบ. +4%QoQ,-29%YoY ดีกว่าคาด 30% แต่หากตัดรายการพิเศษ กำไรปกติที่ 106 ลบ. ใกล้เคียงกับที่เราประเมิน จากรายได้เท่ากับ 7.3 พันลบ.ลดลง -23%YoY จากปีก่อนซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท ตามยอดขาย Huawei (ก่อนกระทบจาก Tech war) ขณะ GPM +9bps YoY ที่ 4.27% จาก Product mix ที่เปลี่ยนไปตามยอดขายสมาร์ทโฟน ขณะที่สัดส่วนยอดขาย PC-Laptop เพิ่มขึ้นในช่วงนโยบาย WFH แต่การประหยัดต่อขนาดที่ลดลงจากยอดขาย ทำให้ NPM -13bps YoY มาอยู่ที่ 1.80%
ช่วงที่เหลือของปีต้องลุ้นกันเหนื่อย
เรามองช่วง 2Q-3Q63 จะทำจุดต่ำสุดและฟื้นตัวได้ช้าเทียบ QoQ เนื่องจาก i) ผลกระทบจาก COVID-19 เช่นเดียวกับกลุ่มค้าปลีก IT ซึ่งคาดคิดเป็นมากกว่า 50% ของรายได้บริษัท ที่ถูกปิดสาขาไปราว 1.5 เดือน ii) สินค้าสมาร์ทโฟน (37% ของรายได้) ที่ทยอยเปิดตัวในช่วงกลางปีค่อนข้างเงียบเหงาทั้ง S20,P40, Mate แม้บริษัทจะได้ทำสัญญากับสินค้าใหม่ 2 แบรนด์ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้ iii) สงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน ที่มีแนวโน้มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง (ล่าสุดได้ห้ามผู้ผลิตชิปทุกรายจัดหาสินค้าให้ Huawei) ปัจจุบันยอดขาย Huawei คิดเป็น 16% ใน 1Q63 แม้ลดลงจากปีก่อนที่สูงถึง 34% ในช่วงที่ยังใช้ระบบของ Google (GMS) ได้ แต่เราคาดว่าจะใช้เวลานานออกไปใน 4Q63-2564 เนื่องจากระบบ HMS ยังไม่ได้รับความนิยมนัก
ปรับคำแนะนำลงเป็น ถือ บนราคาเหมาะสมเดิมที่ 6.55 บาท
กำไร 1Q63 คิดเป็น 23% ของประมาณการทั้งปี ขณะที่ราคาได้ปรับตัวขึ้น +30% หลังจากที่เราปรับคำแนะนำขึ้นในกลางเดือนเม.ย. ณ ปัจจุบันอยู่บน P/E 11.5X ขึ้นมาใกล้เคียงกับ 3-Yr Average P/E -1.5SD = 12X ที่เราใช้ประเมินมูลค่าเหมาะสม 6.55 บ./หุ้น ทำให้ Upside เริ่มจำกัด เราจึงลดคำแนะนำลงเป็น ถือ สิ่งที่จะพยุงราคาหุ้น คือ Div.yield สูงถึง 7% หากเทียบ Payout ratio ในอดีตที่ 65% ความเสี่ยงคือ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี , การชะลอตัวของภาคการบริโภคในประเทศ , ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web