WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 20-5-2020KGI

ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้     ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)

ไซด์เวย์หลังแรลลี่แรง ผนวกกับปัจจัยต่างประเทศอ่อนลงเล็กน้อย

KGI ประเมิน SET Index วันพุธเทรดไซด์เวย์ พักตัวสร้างฐาน หลังดัชนีฯ แรลลี่แรง 1.82% เมื่อวานนี้รับความหวังต่อวัคซีน Covid-19 รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่พุ่งแรง... และปัจจัยตลาดหุ้นวันนี้เป็นกลางๆ ไม่บวกชัดเจนเหมือนเมื่อวานนี้ กล่าวคือ i) ความตื่นเต้นต่อวัคซีน Covid-19 ของ บ.โมเดอนา อิงค์ ถูกสกัดโดยรายงานล่าสุดของ บ. STAT ซึ่งเป็นสื่อด้านการแพทย์ โดย บ.ดังกล่าวสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และรายงานว่า การทดสอบวัคซีนดังกล่าวยังไม่ได้ให้ผลที่มีนัยสำคัญใดๆ ต่อการนำวัคซีนมาใช้ในวงกว้าง และไม่ได้รายงานผลแอนติบอดีครบทุกอาสาสมัครแต่อย่างใด ii) ภาพรวม valuations ของตลาดหุ้นไทยแพงขึ้นไปอีกหลังตลาดแรลลี่เมื่อวานนี้ และ consensus ยังคงลดประมาณการ EPS ปี 2563 สู่ 69.0 จุด ส่งผลให้ดัชนีฯ ที่ราคาปิดเมื่อวาน เทรดที่ forward PE2563-consensus ที่ 19 เท่า และคิดเป็น earnings yield gap ที่ 4.1% ซึ่งเป็นระดับ yield gap ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปีซึ่งอยู่ที่ 4.5% และชี้ว่ามูลค่าหุ้นค่อนข้างตึงตัวมากแล้ว...

ฝ่ายวิจัยฯ จึงมองว่าดัชนีฯ น่าจะเทรดผันผวนแถวๆ ระดับปัจจุบันไปก่อน ตามข่าวสารเรื่องวัคซีน/ยา Covid-19 ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ด้านปัจจัยภายในประเทศ วันนี้ กนง. จะมีการประชุมนโยบายการเงิน ซึ่งทางเรามองว่ามีโอกาสน้อยลงที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยหลัง GDP ไตรมาส 1/2563 สูงกว่าที่ consensus คาดการณ์ (อย่างไรก็ดี เรามองว่าหาก กนง. ไม่ลดดอกเบี้ยวันนี้ จะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป) ทั้งนี้การสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 24 ราย โดย Bloomberg พบว่า 4 รายคาด กนง. คงดอกเบี้ย และ 20 รายคาด กนง. ลดดอกเบี้ย 0.25% ในวันนี้

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน   ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)

เก็งกำไร CENTEL*, RS*, EA*

                CENTEL* (เป้าพื้นฐาน 26 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 20.0 บาท / แนวต้าน 21.5 - 22.9 บาท (Stop loss 19 บาท) 2) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q63 จะเป็นจุดต่ำสุด และ Sentiment การผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์น่าจะทำให้ผลการดำเนินงาน 2H63 ฟื้นตัวได้ 3) คาดจะมีแรง Switching จาก MINT* ที่ประกาศเพิ่มทุน ขณะที่แม้ว่า MINT* จะเพิ่มทุนสำเร็จ สถานะทางการเงินก็ยังมีความเสี่ยง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหุ้น MINT* และ CENTEL* วันนี้เพิ่มเติม)

                RS* (เป้าพื้นฐาน 13.2 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 11.0 บาท / แนวต้าน 12.1 - 12.5 บาท (Stop loss 10.5 บาท) 2) จากที่ประชุมนักวิเคราะห์ล่าสุด มี Upside หากบริษัทฯทำรายได้และอัตรากำไรได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากประมาณการฯของฝ่ายวิจัยฯ ทั้งการเติบโตของรายได้และสมมติฐานอัตรากำไรต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทฯค่อนข้างมาก (ฝ่ายวิจัยฯ ยึดหลักอนุรักษ์นิยม ขอพิจารณาผลการดำเนินงาน 2Q63 ก่อน) ... อ่านรายละเอียดเป้าหมายรายได้และอัตรากำไรในบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานวานนี้เพิ่มเติม 3) ประเมินการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์จะเริ่มส่ง Sentiment บวกมาที่ภาคการบริโภคในประเทศ

                EA* (เป้า Consensus 59.5 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 38.5 บาท / แนวต้าน 40.75 - 42.0 บาท (Stop loss 38.0 บาท) 2) Consensus ประเมินกำไรยังเติบโต +28% CAGR (2562 - 65) ขณะที่ PE ปีนี้ ±20 เท่า 3) เริ่มขยายการลงทุนไปยังธุรกิจต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงการหมด Adder ของโซลาร์ฟาร์มในปัจจุบัน โดยเริ่มลงทุนในธุรกิจเกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าขยะ และธุรกิจรถอีวี (ล่าสุดเข้าซื้อ PP หุ้น NEX ที่ราคา 2.2 บาท โดยหลังการเพิ่มทุน EA* จะถือหุ้น NEX 40% ทั้งนี้ NEX เป็นผู้จัดจำหน่ายซ่อมบำรุงและให้เช่ารถบัส+รถเมล์ คาดจะใช้ NEX เป็นช่องทางการขายแบตเตอรี่ สำหรับรถบัสอีวี เป็น Win-Win strategy)

หุ้นมีข่าว

(+) คลังถกเจ้าหนี้บินไทย ก่อนยื่นศาลล้มละลาย คมนาคมยื่น 15 ชื่อผู้ทำแผนฯสัปดาห์หน้า (ข่าวหุ้น) ครม.ไฟเขียว “การบินไทย” (THAI*) ยื่นแผนฟื้นฟูกิจการเข้าสู่ศาลล้มละลายกลางภายในต้นมิ.ย.นี้ ตั้งทีมเจรจาแฮร์คัทหนี้กับ “โบอิ้ง” กว่าแสนล้านบาท ยอมรับไม่ง่าย รวมทั้งเจ้าหนี้สถาบันการเงินไทย ด้าน THAI* พร้อมลดทุนฯ เร่งเสนอแผนฟื้นฟูเข้าศาลฯไทยและสหรัฐ ป้องกันถูกยึดเครื่องบิน บอร์ดวายุภักษ์ประชุมพรุ่งนี้ขออนุมัติซื้อหุ้น THAI* 3% ไม่เกิน 300 ล้านบาท จากคลัง ด้านทริสฯลดอันดับการบินไทยจาก BBB สู่ C “คมนาคม” ชงรายชื่อคณะจัดทำแผนฟื้นฟูฯให้ “ประยุทธ์” สัปดาห์หน้า

(+) ครม.ลดค่าโอน/จำนองอสังหา (ไทยโพสต์) เหลือ 0.01% ถึง มิ.ย.65 ORI โวขายเกิน 2 หมื่นล. ครม.เห็นชอบลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ เหลือ 0.01% ถึง 7 มิ.ย.65 ด้าน ORI มั่นใจยอดขายปีนี้เข้าเป้า 2.1 หมื่น ล. หลัง 4 เดือนมียอดขายแล้ว 8 พัน ล.

(-) MINT* สลบ!ลงทุนตปท. ระดม 2.5 หมื่นล.กู้วิกฤติ (ข่าวหุ้น) MINT* ประกาศระดมทุน 2.5 หมื่นล้านบาท เผยไตรมาส 3/63 เล็งออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมเพิ่มทุน 1 หมื่นล้านบาท ออกหุ้นเพิ่มทุน 716.12 ล้านหุ้น ขายให้ RO วงการชี้ราคาขายหุ้นละ 13-14 บาท ส่วนอีก 5 พันล้านบาท มาจากแปลงวอร์แรนต์ MINT-W7 กว่า 313.83 ล้านหุ้น นอกจากนี้หั่นงบลงทุนปี 63 เหลือ 1.1 หมื่นล้านบาท หวังลดต้นทุน

(+) TPCH ฤกษ์ดีกดปุ่ม COD โรงไฟฟ้าปัตตานี 23 MW (ทันหุ้น) TPCH มาตามนัด! เสียบปลั๊กโรงไฟฟ้าชีวมวลปัตตานี ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 23 เมกะวัตต์ เข้าระบบเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว หนุนกำลังการผลิตไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มเป็น 83 เมกะวัตต์ คาดไตรมาส 2/2563 เตรียม COD โรงไฟฟ้าชีวมวลอีก 3 แห่งพร้อมลุยโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนตามแผนนโยบายจากภาครัฐ

หุ้นที่แนะนำไปก่อนหน้า

                INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 69 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 52 บาท)

                HANA* (เป้าพื้นฐาน 36 บาท) ประเมินแนวรับ 27.5 บาท / แนวต้าน 30 - 32 บาท (Stop loss 27.5 บาท)

                BCPG* (เป้าพื้นฐาน 22 บาท) ประเมินแนวรับ 15.8 บาท / แนวต้าน 16.5 - 17.0 บาท (Stop loss 15.4 บาท)

                TMB* (เป้าพื้นฐาน 1.38 บาท) ประเมินแนวรับ 0.95 บาท / แนวต้าน 1.00 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 0.93 บาท)

                MTC* (เป้าพื้นฐาน 49 บาท) ประเมินแนวรับ 50 บาท / แนวต้าน 53 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 48 บาท)

                TOP* (เป้าพื้นฐาน 55 บาท) ประเมินแนวรับ 44 บาท / แนวต้าน 46.5 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 42.75 บาท)

                BPP* (เป้าพื้นฐาน 23.25 บาท) ประเมินแนวรับ 15.8 บาท / แนวต้าน 16.5 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 15.7 บาท)

                CPF* (เป้าพื้นฐาน 35 บาท) ประเมินแนวรับ 28.5 บาท / แนวต้าน 29.5 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 27.5 บาท)

                TFG (เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท) ประเมินแนวรับ 4.16 บาท / แนวต้าน 4.34 บาท หากผ่านแนวต้านได้ แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 4.0 บาท)

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้

                GULF* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 41 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองเป็นกลาง โครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ (แฟลมฉบัง, มอเตอร์เวย์) อยู่ระหว่างการเจรจา ขณะที่โครงการลงทุนในต่างประเทศล่าช้าเนื่องจากผลของการแพร่ระบาดของวัรสโควิด-19 สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q63 (กำไรปกติ) คาดชะลอตัวลง QoQ แม้ Upside จากราคาเป้าหายเหลือไม่มาก แต่ฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่าโครงการต่างๆที่อยู่ระหว่างการเจรจาและลงทุนในต่างประเทศที่รออยู่จะเป็น Upside ให้ปรับประมาณการฯและราคาเป้าหมายได้อีก จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"

                CENTEL* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 26 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองเป็นบวกเล็กน้อย โดยคาดผลการดำเนินงานในประเทศไทย 2Q63 จะเป็นจุดต่ำสุด อย่างไรก็ดีธุรกิจที่มัลดีฟส์จะยังไม่มีสัญญาณการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่อีกครั้ง สำหรับกลุ่มโรงแรมฝ่ายวิจัยฯชอบ CENTEL* มากที่สุด เนื่องจาก i) ความเสี่ยงด้านการเงินต่ำ และ ii) มีธุรกิจร้านอาหารที่ความเสี่ยงต่ำกว่าธุรกิจโรงแรมอยู่ในพอร์ต

                MINT* แนะนำ "ขาย" เป้าพื้นฐาน 16 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองเป็นลบ แม้ผู้บริหารจะประเมินว่าเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมในเดือน พ.ค. แต่ฝ่ายวิจัยฯปรับลดประมาณการฯปี 2563 เป็นขาดทุน -1.23 หมื่นล้านบาท และแม้ว่าการเพิ่มทุนรอบนี้ + การออก Perpetual bond สำเร็จตามแผน DE ratio ของ MINT* ก็ยังสูงราว 1.4 เท่า ขณะที่มี Debt covenant ที่ 1.75 เท่า ฝ่ายวิจัยฯจึงแนะนำให้ Switching ไป CENTEL* ที่ความเสี่ยงด้านสถานทางการเงินต่ำกว่า

                TRUE* แนะนำ "ขาย" เป้าพื้นฐาน 3.6 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองยังเป็นลบ ต่อสถานะทางการเงินของ TRUE* และประเมินว่าผลการดำเนินงานจะยังขาดทุนต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีจากผลการดำเนินงาน 1Q63 ที่ดีกว่าคาด ฝ่ายวิจัยฯจึงปรับเพิ่มประมาณการฯจากเดิม แต่คาดว่าจะยังรายงานผลขาดทุนสุทธิในปี 2563 - 64

Strategic SET daily

May 20, 2020                        Market strategy                    Thailand

1 อดิศักดิ์ คำมูล

2 66.2658.8888 ต่อ 8843

3 [email protected]

จิตวิทยาตลาดวันนี้: --- นัยรับ 1301 จุด

วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นหรือปิดเหนือนัยรับ 1301 จุดได้นั้น อาจทรงราคาขึ้นในกรอบ 1301-1340 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงปิดต่ำกว่านัยรับ 1301 จุดนั้น อาจทรงราคาลงในกรอบ 1301-1289 จุด

แนวรับวันนี้:       1302/1295             แนวต้านวันนี้:         1318/1326

Central Plaza Hotel

ดีสุดในแย่สุด

Event

ประชุมนักวิเคราะห์

Impact

จะค่อย ๆ กลับมาเปิดบริการโรงแรมในประเทศไทย

ผู้บริหารตั้งเป้า RevPar ปีนี้จะลดลง 40% ถึง 50% YoY ในขณะที่เราประเมินแบบอนุรักษ์นิยมกว่า โดนเราคาด RevPar ทั้งปีจะปรับตัวลง 65% YoY ในเดือนเมษายน 2563 RevPar ลดลงถึงกว่า 90% YoY จากการปิดบริการโรงแรม แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าผลการดำเนินงานของโรงแรมในประเทศไทยจะมีสัญญาณการฟื้นตัวดีกว่าโรงแรมในต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทมีแผนจะกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยวที่เข้าถึงง่าย (เช่น หัวหิน และพัทยา) เพื่อรองรับอุปสงค์นักท่องเที่ยวในประเทศ ในขณะเดียวกัน โรงแรมสองแห่งในมัลดีฟส์ของบริษัท (20% ของรายได้จากธุรกิจโรงแรมในปี 2562) ยังคงถูกปิดอยู่และยังไม่มีสัญญาณว่าจะกลับมาเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้

ธุรกิจอาหารผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือนเมษายน 2563

Same-store-sales (SSS) ลดลงประมาณ 50% YoY ในเดือนเมษายน 2563 (จาก 1Q63 ที่ -9.5% YoY) เนื่องจากต้องปิดบริการขายอาหารแบบนั่งกินในร้าน เราเชื่อว่าช่วงเลวร้ายที่สุดผ่านพ้นไปแล้วจากการที่ CENTEL กลับมาเปิดบริการแบบนั่งกินในร้านอีกครั้งในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2563 และแบรนด์ที่เน้นขายผ่าน delivery platform (อย่างเช่น KFC) ก็ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผู้บริหารตั้งเป้าว่า total-system-sales (TSS) ปีนี้จะลดลง 12-15% YoY ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานของเราที่ -17% YoY

สถานะทางการเงินดีที่สุดในกลุ่ม

เมื่อสิ้นงวด 1Q63 สัดส่วน D/E ของ CENTEL อยู่ที่ 0.7x (ต่ำกว่า debt covenant ที่ 2.0x) โดยเรายังไม่กังวลต่อสภาพคล่อง และ debt covenant ของ CENTEL เพราะจากการทำ stress test ของเราพบว่า CENTEL ต้องมีผลขาดทุนสุทธิมากกว่า 7 พันล้านบาทในปี 2563F ถึงจะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนเกิน debt covenant.

Valuation & Action

เรายังคงประมาณการปี 2563 เอาไว้เนื่องจากเรายังคงรอดูความคืบหน้าของการกลับมาเปิดบริการใน 2Q63 ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้นกลุ่มนี้ที่เราศึกษาอยู่ เรายังเลือก CENTEL เป็น top-pick เนื่องจาก i) มีความเสี่ยงทางการเงินต่ำที่สุด และ ii) ธุรกิจร้านอาหาร (76% ของรายได้ในปี 2563F) จะฟื้นตัวไวกว่าธุรกิจโรงแรม เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ และให้ราคเป้าหมายที่ 26.00 บาท อิงจาก EV/EVITDA ปี 2564F ที่ 11.2x เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว -1.0 S.D. ทั้งนี้ เรามองว่า catalyst ระยะสั้นจะมาจากวัคซีน Coronavirus ในขณะที่สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจะเป็นเกราะป้องกันสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย

Risks

SSSG ฟื้นช้า และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำเกินคาด

Bangkok Dusit Medical Services

(BDMS.BK/BDMS TB)*

คาดว่าจะแย่สุดใน 2Q63

Event

Conference call เกี่ยวกับงบ 1Q63 และแนวโน้มระยะต่อไป

lmpact

ผลการดำเนินงานใน 2Q63 จะแย่ลง QoQ

เรามองลบกับแนวโน้มผลประกอบการของ BDMS ใน 2Q63 เนื่องจากเราคาดว่าบริษัทจะถูกกระทบเต็มที่จากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งน่าจะหนักสุดในเดือนเมษายน โดยผลกระทบจะเห็นได้ชัดใน 2Q63 หลังจำนวนผู้ป่วยที่มาใช้บริการลดลงอย่างมากทั้งผู้ป่วยชาวไทย (-10% YoY) และต่างชาติ (37% YoY) ในเดือน มี.ค.63 อย่างไรก็ตาม BDMS ได้พยายามดำเนินการในหลาย ๆ ด้าน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโรคระบาด อย่างเช่น i) แยกพื้นที่ในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ และมีมาตรการป้องกันเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อในการรักษาพยายาล ii) ทดสอบการติดเชื้อ COVID-19 โดยใช้บริษัทลูก iii) Samitivej Virtual Hospital (ให้บริการคำปรึกษาโดยแพทย์แบบ real time) และ iv) บริการ Bangkok Hospital Delivery Services (ตรวจเลือด ฉีดวัคซีน และจ่ายยา)

มีโอกาสจะฟื้นตัวได้ใน 2H63

เรามองว่าแนวโน้มน่าจะเป็นลบน้อยลง HoH ใน 2H63 เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทน่าฟื้นตัวดีขึ้นจากสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบัน ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อในหลายประเทศได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้มีการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ลงได้อีก ซึ่งอาจจะทำให้มีผู้ป่วยต่างชาติเริ่มกลับมาใช้บริการที่ประเทศไทย ส่วนประเด็นการทำ tender offer หุ้นทั้งหมดของ Bumrungrad Hospital (BH.BK/BH TB)* เรายังคงคาดว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ โดยผู้บริหารของ BDMS บอกว่าจะนำเรื่องนี้กลับมาพิจารณาอีกครั้งในการประชุมประจำปี (ซึ่งมีการเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดในขณะนี้)

ปรับลดประมาณการกำไรปี FY63-64 ลง

เมื่ออิงจากประมาณการของบริษัทว่ารายได้จะลดลง 10% YoY ในปี FY63F เราจึงปรับสมมติฐานของเราเพื่อสะท้อนผลกระทบที่หนักขึ้น โดยเราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563F ลง 21.4% เหลือ 6.58 พันล้านบาท และปี 2564F ลง 19.2% เหลือ 7.09 พันล้านบาท เนื่องจากเราปรับสมมติฐานดังนี้ i) ปรับลดประมาณการรายได้ปี FY63-64F ลงจากเดิม 13.5% ii) ปรับลดประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นปี 2563F ลงเหลือ 29.8% จาก 31.5% และปี 2564F เป็น 31.0% จาก 32.0% และ iii) ปรับสัดส่วน SG&A/ยอดขายปี 2563F เป็น 21.5% จาก 21.0% และคงสัดส่วนของปี 2564F ไว้เท่าเดิมที่ 21.9% เพื่อเป็นการสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และจำนวนผู้ป่วยที่มาใช้บริการลดลง ทั้งผู้ป่วยไทย และต่างชาติ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด

Valuation & Action

เรายังคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมาย DCF ใหม่ปี 2563 ที่ 27.00 บาท (WACC ที่ 8.0% และ TG ที่ 2.0%) จากเดิมที่ 30.00 บาท

Risks

การแทรกแซงของรัฐบาล ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองรอบใหม่ของไทย และเกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!