WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 12-5-2020ASP

กลยุทธ์การลงทุน      

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ประเมินว่า SET Index น่าจะผันผวนที่บริเวณ 1300 +/-20 จุดต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยแรงขับเคลื่อนหลักยังเป็นการซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ แต่ก็น่าจะมีน้ำหนักเบาลงเมื่อเทียบกับในอดีต ส่วนในเชิงของ Valuation ปัจจุบันค่า PER วิ่งเข้าใกล้ 18 เท่า มุมเดียวที่จะทำให้ SET Index ปรับขึ้นไปต่อได้คือต้องมองข้ามไปที่ EPS ปี 2564 วันนี้ปรับพอร์ตโดย ขายทำกำไร STA และย้ายเงินเข้า BCH หุ้น Top Picks เลือก BCP (FV@B 22) และ BCH (FV@B 18.68)

SET Index   1,287.30 เปลี่ยนแปลง (จุด)   21.28 มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท)   56,801

          

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย จับสัญญาณวันนี้

วานนี้ ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้นตลอดวัน จากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นเพียง 6 รายทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะคลายล็อคดาวน์เฟส 2 มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามกำหนดการเดิมในวันที่ 17 พ.ค.63 จึงทำให้ตลาดหุ้นปิดตัวในแดนบวกที่ระดับ 1287.30 จุด เพิ่มขึ้น 21.28 จุด หรือ +1.68% มูลค่าการซื้อขาย 5.68 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่หนุนตลาดหลักๆ คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ PTT(+0.71%) GULF(+3.29%) GPSC(+6.25%) BGRIM(+5.81%) กลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL(+2.78%) HMPRO(+4.51%) BJC(+6.12%) และกลุ่มอาหารอาทิ CPF(+0.92%) CBG(+8.01%) MINT(+1.58%) OSP(+3.07%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น BDMS(+2.59%) CPN(+3.83%) และ PTTGC(+5.19%) เป็นต้น

ประเมินสถานะของตลาดหุ้นไทยใน 2 มุมมอง โดยในมุมมองที่ 1 เป็นเรื่องของแรงขับเคลื่อนตลาดที่มาจาก Fund Flow พบว่าแรงซื้อที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยมาโดยตลอดในช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา คือนักลงทุนสถาบันในประเทศ (ขณะที่แรงขายหลักมาจากนักลงทุนต่างชาติ) ทั้งนี้แรงซื้อที่มาจากนักลงทุนสถาบันในประเทศต้นทางหลักน่าจะเกิดจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินที่ต้องการวิ่งเข้าหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น หลังจากผลตอบแทนในตลาดพันธบัตร และตราสารหนี้อยู่ในระดับต่ำ สำหรับแนวโน้มจากนี้เป็นไปได้ที่แรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศอาจเบาลง หลังสภาพคล่องส่วนเกินบางส่วนถูกดูดออกมาเพื่อนำเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sector) ผ่าน พ.ร.ก.กู้เงินฯ 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้เยียวยาภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 อีกมุมมองหนึ่ง เป็นเรื่องของ Valuation ซึ่งตัวแปรสำคัญในเรื่องนี้ได้แก่ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ที่ถูกคาดหมายว่าEPS Growth จะหดตัวลง 17% YoY ในปี 2563 มาอยู่ที่ 72.6 บาท/หุ้น แต่จากการติดตามการประกาศผลประกอบการ 1Q63 จนถึงปัจจุบันพบว่ามีบริษัทฯ ที่ประกาศออกมาแล้ว 44% ของ Market Cap มีกำไรสุทธิลดลง 59% YoY และ 46% QoQ ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลงอีกครั้งหนึ่ง หลังการประกาศตัวเลข 1Q63 ครบ ซึ่งก็เท่ากับว่าที่ระดับ SET Index ปัจจุบันมีค่า PER อยู่ที่บริเวณ 18 เท่า และหากมองข้ามไปในปี 2564 ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับของการทำกำไรบริษัทจดทะเบียน เบื้องต้นคาดฐานกำไรสุทธิรวม 8.45 แสนล้านบาท คิดเป็น 78.6 บาท/หุ้น ก็จะทำให้ค่า PER ปี 2564 ลดลงมาอยู่ที่ราว 16.4 เท่า ดังนั้นในมุมมองนี้หากคิดว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ ก็ต้องมองข้ามผลประกอบการที่คาดว่าจะหดตัวแรงในปี 2563 ไป แล้วไปคาดหวังบนคาดการณ์ EPS ปี 2564 อย่างไรก็ตามในระยะสั้น เชื่อว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวผันวผนบริเวณ 1300 +/- 20 จุด ต่อไปอีกระยะหนึ่ง กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้ ขายทำกำไรหุ้น STA หลังราคาหุ้น ปรับขึ้นมาแตะ Fair Value และให้นำเงินสลับเข้าลงทุนใน BCH ซึ่งยัง Laggard ส่วนหุ้น Top Pick วันนี้เลือก BCP และ BCH

ซาอุฯ จะตัดลดการผลิตน้ำมันเพิ่มอีก 1 ล้านบาร์เรล ดีต่อ PTT

ราคาน้ำมันดิบโลกคาดยังแกว่งตัว 30 เหรียญฯ และมีโอกาสปรับขึ้นต่อ โดยมีปัจจัยหนุนจาก ฝั่ง Demand น้ำมันที่เริ่มกลับมา หลังจากในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. หลายประเทศทั่วโลกเริ่ม Reopen ประเทศ และทยอยกลับมาดำเนินธุรกิจ แม้ในช่วงที่ผ่านมาการ Lockdown ประเทศทั่วโลก ทำให้ Demand น้ำมันดิบโลก เดือน เม.ย.หายไป 30 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ราว 70 ล้านบาร์เรล/วัน   เช่นเดียวกับฝั่ง Supply หลังจากมติกลุ่ม OPEC+ (หลักๆคือ ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย) เริ่มปรับลดกำลังการผลิตลงถึง 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน ตามแผนตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. และล่าสุด เมื่อวานนี้ ซาอุดิอาระเบียจะเพิ่มการตัดลดการผลิตลงอีก 1 ล้านบาร์เรลมาอยู่ที่ 7.5 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน

โดยรวม ASPS เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบโลกมีโอกาสปรับขึ้นต่อจากปัจจัยหนุนดังกล่าวบวกต่อหุ้นพลังงาน โดยแนะนำลงทุน PTTEP (FV@B>100) และ PTT (FV@B>42)

ส่วนกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี ASPS คาด spread ของทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน เม.ย. โดยคาด 1Q63 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2563 จากนี้ไปน่าจะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ในทิศทางขาขึ้นช่วงที่เหลือของปี ยังคงเลือก IVL (FV@B>28)

ในประเทศ ติดตามผ่อนคลายกิจการเฟส 2 และจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่

ในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่เพิ่มเติม เชื่อว่าตลาดให้น้ำหนัก

1.การพิจารณาผ่อนคลายในกิจการกลับมาดำเนินการได้ในระยะที่ 2 โดยล่าสุดวานนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่ากำลังพิจารณาประเภทของกิจการที่จะอนุญาตให้กลับมาดำเนินงานได้ในระยะที่ 2 เบื้องต้นคาดว่าจะมี (ดังตาราง) อย่างไรก็ตามผลบวกต่อเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียน ASPS เชื่อว่าจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมา ดังที่นำเสนอใน Market talk เมื่อวานนี้

  1. จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ โดยปัจจุบันเห็นสัญญาณที่ดีต่อ วานนี้ ผู้ติดเชื้อใหม่ 6 ราย ลดลงเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ช่วงปลายเดือน เม.ย. 2563 ที่พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละ 16 ราย อย่างไรก้ตามยังต้องระวัง การกลับมาติดเชื้อรอบที่ 2 อีกครั้ง ดังเช่น สิงคโปร และ เกาหลีใต้จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งขึ้นสุง และกดดันต่อตลาดหุ้นปรับฐานอีกครั้ง

ตลาดหุ้นขาดแรงหนุนจากต่างชาติ ขณะที่แรงหนุนจากสถาบันปีนี้แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด

หากพิจาณา Fund Flow ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2558-2562) สังเกตได้ว่า ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยแล้วกว่า 4.3 แสนล้านบาท (ขายสุทธิ 4 ใน 5 ปี) อย่างไรก็ตามสถาบันในประเทศซื้อสุทธิกว่า 4.1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่ขนาดใกล้เคียงกันของ 2 นักลงทุนหลัก ช่วยพยุงให้ SET Index ปรับตัวขึ้นกว่า 22.66% ดังตารางด้านล่าง

และหากพิจารณา Fund Flow ในปี 2563 นี้ พบว่า ต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องเช่นเคย โดยขายสุทธิไปแล้วกว่า 1.7 แสนล้านบาท(ytd) ขณะที่สถาบันกลับซื้อสุทธิเพียง 5.1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น เหลือไม่ถึง 1 ใน 3 ของแรงขายจากต่างชาติ และมีโอกาสชะลอการไหลเข้าต่อ ด้วยเหตุผล 2 อย่างหลักๆ ได้แก่

  1. สภาพคล่องส่วนเกินอาจถูกดึงออกไปช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) มากยิ่งขึ้น ภายหลัง พ.รก. กระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท มีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะ พ.ร.ก. กู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 1 ล้านล้านบาท (พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้าน) และ พ.ร.ก. ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) วงเงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่ง พ.ร.ก. ข้างต้นจะเป็นการจัดสรรเม็ดเงินเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) โดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินที่จะเข้าสู่ภาคการเงิน (Financial Sector) มีน้อยลง
  2. เม็ดเงินกองทุน LTF ที่หายไปกว่า 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี แม้มีกองทุน SSFX มาช่วยพยุงแต่ยังไม่มากพอ สังเกตได้จาก กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวเงื่อนไขพิเศษ (SSFX) ทั้งหมด 17 กองทุน ที่มีการอัพเดทข้อมูลกับทางตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 11 พ.ค. 2563 พบว่า ยังไม่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเท่าที่ควร เนื่องจากมียอดซื้อสะสมเพียง 1.36 พันล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากมีข้อจำกัด คือ ต้องมีระยะเวลาการถือครองอย่างน้อย 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ นานกว่าเงื่อนไขกองทุน LTF พอสมควร และยังสามารถซื้อได้เฉพาะช่วงเดือน เม.ย. - มิ.ย. 2563 เท่านั้น (ระยะเวลา 3 เดือน)

โดยสรุป หากพิจารณาทางด้าน Fund Flow จะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นไทยยังขาดแรงขับเคลื่อนสำคัญ ทั้งจากนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันฯที่แผ่วลง ส่งผลให้ SET Index มีโอกาสขึ้นได้ค่อนข้างจำกัดต่อจากนี้

เป้าหมาย SET ปี 63 เริ่มตึง แต่เป้าหมายปีหน้า 1367 จุด ยังพอไหว

SET Index ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดกลางเดือน มี.ค. 2563 มาแล้วกว่า 318 จุด หรือ 32.8% มาอยู่ที่ 1287.30 จุด (มากกว่าเป้าหมายปี 2563 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้) แสดงให้เห็นถึงตลาดมองข้ามช็อต และคาดหวังไปถึงแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าบ้างแล้ว ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงทำการอัพเดทสถานะ รวมถึงประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนล่าสุดว่า SET Index ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่

เริ่มจากอัพเดตกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 1Q63 มีการรายงานงบออกมาแล้วทั้งสิ้น 111 บริษัท (คิดเป็น 44% ของมูลค่าตลาด) มีกำไรสุทธิรวมกันทั้งสิ้น 6.3 หมื่นล้านบาท ลดลงถึง 46.5%QoQ และ 58.9%YoY (ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ลดลง 17%) เพราะฉะนั้นการที่กำไรงวด 1Q63 ลดลงแรง บวกกับมีแนวโน้มลดลงอีกในงวด 2Q63 ทำให้โอกาสในการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ของแต่ละโบรกเกอร์ลงอีก ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงของตลาด

และหากประเมินสถานะของประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนล่าสุด พบว่า มีการทยอยปรับลดประมาณการลง จนล่าสุดกำไรปี 2563 ลดลง 6.2 หมื่นล้านบาท เหลือ 7.19 แสนล้านบาท (ลดลงจาก 7.81 แสนล้านบาท) และกำไรปี 2564 ลดลงเหลือ 8.45 แสนล้านบาท ส่งผลให้ EPS63F ลดลงจาก 72.62 บาท/หุ้น เหลือ 66.82 บาท/หุ้น และ EPS63F เหลือ 78.56 บาท/หุ้น

แสดงให้เห็นว่า SET Index ณ ปัจจุบัน ที่ 1287.30 จุด ถูกซื้อขายกันบน Expected PER63 และ เท่ากับ 19.27 เท่า ถือเป็นระดับที่แพง แต่หากประเมินจาก Expected PER64 เท่ากับ 16.4 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก และเป็นแรงที่ช่วยสร้างความหวังให้ตลาดยืนอยู่ได้ และหากประเมินเป้าหมาย SET Index จากข้อมูลที่มี ณ ปัจจุบัน ภายใต้ระดับ PER 17.4 เท่า (ประเมินจาก Market Earning Yield Cap ที่ระดับ 5%) จะได้เป้าหมายดัชนีปี 2564 อยู่ที่ 1366 จุด

ดังนั้นยามที่ Valuation ตลาดเริ่มตึง และมีความเสี่ยงที่กำไรจะถูกปรับลดลงอีก และยังขาด Fund Flow หนุน กลยุทธ์การลงทุนจำเป็นต้องพิถีพิถันในการลงทุน และแนะลงทุนในหุ้นที่ Laggard มีโอกาสเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ในการ Rotation มาถึงในระยะถัดไป คือ BCP และ BCH มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

BCP เป็นหุ้น Laggard กลุ่มและหุ้นลูก คือ ราคาหุ้น Laggard กลุ่มโรงกลั่นอยู่มาก โดยในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 3.2% ขณะที่หุ้นในกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เช่น SPRC เพิ่มขึ้น 33.3%, TOP 24.4% เป็นต้น ด้านที่สาม ราคาหุ้น BCP ยัง Laggard ราคาหุ้นลูกอยู่มาก ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCPG ปรับตัวขึ้นถึง 12.6% ซึ่ง BCP ถือครอง BCPG อยู่ถึง 70.04%

BCH เป็นหุ้นที่ Laggard ตลาดอยู่มาก เนื่องจากในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวขึ้นกว่า 4.8% และปรับตัวขึ้นมาเกือบทุกกลุ่ม ยกเว้น ธ.พ. และโรงพยาบาล ที่ลดลง -4.08% 0.43% ตามลำดับ ขณะที่ต่อจากนี้น่าจะได้แรงหนุนจากการเริ่มกลับมาเปิดเมือง ทำให้ผู้ป่วยเริ่มไปโรงพยาบาลมากขึ้น รวมถึงฤดูกาลที่เริ่มเปลี่ยนมาเป็นหน้าฝน ถือเป็น Sentiment ที่ดีต่อกลุ่มฯ ส่วนแนวโน้มผลประกอบคาดงวด 1Q63 ยังเติบโตได้ 4.1%yoy โดยได้แรงหนุนจากรายได้ประกันสังคมเติบโตสูงขึ้นถึง 11.3%yoy มาชดเชยผลกระทบจาก COVID-19 ต่อผู้ป่วยเงินสด

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ภราดร เตียรณปราโมทย์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506

ภวัต ภัทราพงศ์

ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!