WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเชีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 11-5-2020ASP

กลยุทธ์การลงทุน                       

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ตัวเลขเศรษฐกิจสะท้อนผลกระทบจากการระบาด Covid-19 ต่อเนี่อง โดยล่าสุดตัวเลข CCI เม.ย.63 ลดลงเป็นเดือนที่ 14 มาอยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 42.7 จุด สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวเป็นตัวเร่งรัฐต้องขับเคลื่อนมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมถึงการคลายมาตรการ Lockdown คาด SET Index ผันผวนในกรอบ 1250-1280 จุด Top Picks เลือก BCP (FV@B 22) และ STA (FV@B 14) พร้อมทำ Pair Trade ได้ 2 คู่ คือ BTSGIF-BTS และ BCP-BCPGSET Index 1,266.02 เปลี่ยนแปลง (จุด) 8.04 มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท)     44,086

                                               

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย จับสัญญาณวันนี้

วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาค จากที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงตั้งแต่ช่วงปลาย เม.ย.จนนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการในเฟส 2 ที่คาดว่าจะอยู่ในช่วง 17 พ.ค. 63 จึงทำให้ตลาดหุ้นปิดตัวในแดนบวกที่ระดับ 1266.02 จุด เพิ่มขึ้น 8.04 จุด หรือ +0.64% มูลค่าการซื้อขาย 4.40 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่หนุนตลาดหลักๆ คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ PTT(+2.92%) PTTEP(+0.61%) RATCH(+2.71%) TOP(+6.13%) กลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL(+2.86%) CRC(+0.69%) BJC(+2.08%) และกลุ่มปิโตรเคมีอาทิ IVL(+1.87%) PTTGC(+4.05%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น SCC(+1.20%) KTC(+3.85%) และ VGI(+5.66%) เป็นต้น

ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานส่วนใหญ่เป็นเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมา ซึ่งเริ่มสะท้อนให้เห็นภาพผลกระทบอันเนื่องมาจากการระบาดของ Covid-19 โดยปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศตัวเลขอัตรการว่างงานอยู่ที่ 20.5 ล้านคน คิดเป็น 14.7% แม้จะต่ำกว่าที่คาด แต่เป็นตัวเลขอัตรการว่างงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ในประเทศปัญหาดังกล่าวก็รุนแรง ประเมินจากจำนวนผู้ของรับเงินเยียวยาอันเนื่องมาจากผลกระทบ Covid-19 ที่สูงกว่า 13 ล้านคน (ยังไม่รวมที่ยื่นของรับเงินสวัสดิการว่างงานผ่านประกันสังคมฯ) สถานการณ์ดังกล่าวได้ถูกสะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่งคือ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.2563 ที่ยังคงลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 และถือเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 42.7 จุด

เชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลต้องขับเคลื่อนมาตรการฟื้นฟูออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจเป็นทางด้านการเงิน การคลัง ซึ่งต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เม็ดเงินตาม พ.ร.ก. 3 ฉบับที่ใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ออกมาสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วที่สุด ในอีกทางหนึ่ง จะเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลต้อง ผ่อนคลายมาตาการ Lockdown แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 จะยังมีความเสี่ยงอยู่ก็ตาม ทั้งนี้ จุดสนใจสำคํญประการหนึ่งของการผ่อนคลายมาตการ Lockdown คือการอนุญาติให้ศูนย์การค้ากลับมาเปิดบริการอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจากการประเมินจากสถานการณ์แวดล้อมแล้ว ฝ่ายวิจัยเห็นว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังไม่สามารถช่วยให้ผลประกอบการงวด 2Q63 กลับมามีกำไรได้ เนื่องจากมีช่วงเวลาเปิดดำเนินการเพียง 1 เดือน เศษ

ขณะที่การสร้างรายได้ทั้งค่าเช่าพื้นที่ และยอดขายก็ยังต่ำกว่าภาวะปกติมาก ซึ่งน่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับอีกหลายธุรกิจ สำหรับภาพรวมของ SET Index ประเมินว่าน่าจะผันผวนอยู่ในกรอบแคบโดยกรอบบนไม่เกิน 1280 จุด และกรอบล่างบริเวณ 1250 จุด กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ไม่มีการปรับพอร์ตการลงทุน เลือก STA และ BCP เป็น Top Pick พร้อมกันนี้ ยังคงแนะนำ Pair Trade 2 ชุดเดิมคือ 1) Long หุ้น BTSGIF พร้อมๆ กับ Short (ยืมหุ้นมาขาย) BTS และชุดที่ 2) Long หุ้น BCP และ Short BCPG ไปพร้อมๆ กัน

ผลกระทบจาก Covid-19 สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น หนุนธนาคารกลางเอเซียลดดอกเบี้ย

ผลกระทบของไวรัส COVID-19 สะท้อนผ่านดัชนีชี้นำเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐฯ รายงานยอดการจ้างงานอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) เดือน เม.ย. 2563 ลดลง 20.5 ล้านราย ส่งผลให้ อัตราการว่างงานในเดือนเดียวกันพุ่งขึ้นเป็น 14.7% (สูงสุดในประวัติศาสตร์) จากเดือน มี.ค. ที่ระดับ 4.4% โดยรวมถือว่าน้อยกว่าที่ตลาดคาดเล้กน้อย ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐไม่ได้ตอบรับในเชิงลบ อัตราการว่างงาน และการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ

ที่มา: Bloomberg

อย่างไรก็ตามดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวข้างต้น ทำให้ธนาคารกลางต่างๆจำเป็นใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย คือ มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก โดยเฉพาะประเทศที่ยังมีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็น + (Net Interest Rate) ซึ่งคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยลบอัตราเงินเฟ้อ   พบว่า

ฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่มี Net Interest Rate ติดลบ และเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลายประเทศอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว เช่น สหรัฐ, อังกฤษ ฯล เป็นต้น ASPS จึงประเมินว่าโอกาสที่ประเทศพัฒนาแล้วจะลดดอกเบี้ยลงอีกจะมีไม่มาก

ฝั่งประเทศกำลังพัฒนา โดยส่วนใหญ่มี Net Interest Rate กว้างมาก หรือเป็น + มาก บ่งชี้ได้ว่ามีช่องว่างในการการลดดอกเบี้ย คาดว่ายังมีโอกาสลดได้อีกหากจำเป็น ขณะที่ไทย ASPS คาดในช่วงที่เหลือของปีนี้ มีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยฯ ลงจากปัจจุบัน 0.75% ลงอีก 1 ครั้ง ราว 0.25%

ประเมินการลดอัตราดอกเบี้ยฯ ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น เนื่องจากตลาดหุ้นจะสามารถซื้อขายบนค่า P/E ที่สูงขึ้นได้ กล่าวคือ อัตราดอกเบี้ยฯ ที่ลดลงทุกๆ 0.25% จะส่งผลให้ตลาดหุ้นซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นราว 0.79 เท่า ซึ่งจะช่วยเปิด Upside ของดัชนี SET Index ราว 57 จุด

อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ของแต่ละประเทศ

ที่มา: Bloomberg, หมายเหตุ อัตราเงินเฟ้อปัจจุบันของญี่ปุ่น, สหรัฐ, อังกฤษ, มาเลเซีย และอินเดีย เป็นข้อมูลเดือน มี.ค. 63

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยทำจุดต่ำสุด หนุนรัฐผ่อนคลายมาตรการ Lockdown เฟส 2 เพิ่ม

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) เดือน เม.ย. 2563 ปรับลดลงติดต่อกัน 15 เดือนอยู่ที่ 47.2 จุด ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ทำการสำรวจ หลักๆ ผลจากการปิดสถานที่ทำงานและร้านค้าต่างๆ จาก COVID-19, ปัญหาภัยแล้ง ฯลฯ

ดัชนี CCI ที่ลดลงดังกล่าว บ่งชี้ว่าภาคการบริโภคเศรษฐกิจชะลอตัว เชื่อว่าจะเร่งให้รับจำเป็นต้องผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง (Reopen) มากขึ้น หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพิ่มขึ้นในระดัยต่ำ 5 รายติดต่กัน โดยสัปดาห์นี้ให้น้ำหนัก Timeline การผ่อนปรนธุรกิจเฟส 2 มีรายละเอียดดังนี้

11-13 พ.ค. รับฟังความเห็นภาคธุรกิจ และซักซ้อมทำความเข้าใจ

14-15 พ.ค. หากลุ่มตัวอย่างเป็นพื้นที่ทดลองเปิด เช่น ห้างสรรพสินค้าจะหามา 1 พื้นที่ในการทดลองเปิด

16 พ.ค. ทดลองเปิดห้าง แล้วประเมินผล หากประเมินผ่าน

17 พ.ค. เริ่มผ่อนปรนเฟส 2 (เงื่อนไขไม่มีผู้ติดเชื้อระลอก 2)

ตลาดให้น้ำหนักประเภทธุรกิจที่มีโอกาสจะกลับมาดำเนินได้ในรอบที่ 2 คือ ฟิตเนส, ศูนย์ประชุม ฯลฯ ซึ่งเป็นประเด็นต้องติดตาม โดย ASPS คาดการผ่อนคลายดังกล่าว จะยังไม่ทำให้กำไร ของบริทจดทะเบียนของหลายธุรกิจจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาปกติ

ศูนย์การค้า อาทิ CPN(FV@B>66)   ตามพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ศูนย์การค้าต้องปิดต่อเนื่องในเดือน เม.ย. แม้เปิดบริการได้บางส่วน เช่น Supermarket, ร้านอาหาร (Take-Away / Delivery), ร้านขายยา และธนาคาร ฯลฯ ซึ่งสัดส่วนราว 40% ของพื้นที่เช่าเฉลี่ยฯ แต่เนื่องจากมีการให้ส่วนลดค่าเช่าจำนวนมากสำหรับร้านที่เปิด และยกเว้นค่าเช่าแก่ร้านค้าที่ปิดอย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคาดหวัง จากการเปิดผ่อนคลายให้ห้างกลับมาดำเนินนธุรกิจดังกล่าว คาดห้างสรรพสินค้าต้องมีการให้ส่วนลดค่าเช่าแก่ผู้เช่าต่อเนื่อง แม้รายได้ค่าเช่าบริการฟื้นตัวขึ้นใน 2H63 เทียบกับ 1H63 แต่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ

ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีก ASPS ประเมินร้านค้าปลีกที่ต้องปิดสาขาช่วงก่อนหน้า เริ่มกลับมาเปิดสาขาได้แล้วราว 50% ของสาขาทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นสาขาต่างจังหวัด และส่วนที่เหลือคาดจะกลับมาเปิดได้ในวันที่ 17 พ.ค. 2563 การเข้าลงทุนจึงเน้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์กลับมาเปิดสาขาสูง COM7 (FV@B23.5) และ DOHOME (FV@B>7.9) เป็น Top picks กลุ่ม รองมาชอบ CPALL (FV@B>80)

สัปดาห์สุดท้ายของการรายงานงบงวด 1Q63 อาจสร้างความผันผวนให้ตลาด ชอบ STA, BCP

หลังจากบริษัทจดทะเบียนมีการรายงานงบออกมาแล้วทั้งสิ้น 78 บริษัท (คิดเป็น 35.2% ของมูลค่าตลาด) มีกำไรสุทธิรวมกันทั้งสิ้น 6.3 หมื่นล้านบาท ลดลงถึง 37.6%QoQ และ 48.5%YoY ซึ่งหลักๆลดลงจากกลุ่มพลังงานและปิโตรที่ส่วนใหญ่ขาดทุน เช่น TOP, IRPC, PTTGC ขาดทุน 1.3 หมื่นล้านบาท 8.9 หมื่นล้านบาท 8.7 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนสัปดาห์นี้จะเป็นการรายงานงบงวด 1Q63 ของบริษัทจดทะเบียนที่เหลือทั้งหมด น่าจะสร้างความผันผวนให้ตลาดพอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน, ขนส่งทางอากาศ, ท่องเที่ยว และอสังหาฯ ที่น่าจะลดลงทั้ง QoQ และ YoY เป็นต้น และหลังจากรายงานงบเสร็จสิ้นน่าจะเริ่มเห็นการทยอยปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ของแต่ละโบรกเกอร์ ลงอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงของตลาด

ดังนั้นยามที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอน กลยุทธ์การลงทุนจำเป็นต้องพิถีพิถันในการลงทุน แนะนำหุ้นเด่น คือ BCP และ STA มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

BCP เป็นหุ้น Laggard 3 ด้าน ที่น่าสนใจลงทุน ด้านแรก Laggard ราคาน้ำมันดิบโลกที่ที่ฟื้นขึ้นต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ ด้านที่สอง ราคาหุ้น Laggard กลุ่มโรงกลั่นอยู่มาก โดยในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 3.3% ขณะที่หุ้นในกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เช่น SPRC เพิ่มขึ้น 25%, TOP 18.5% เป็นต้น ด้านที่สาม ราคาหุ้น BCP ยัง Laggard ราคาหุ้นลูกอยู่มาก ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCPG ปรับตัวขึ้นถึง 15.3% ซึ่ง BCP ถือครอง BCPG อยู่ถึง 70.04%

STA แนวโน้มผลประกอบการเติบโตโดดเด่นนับตั้งแต่งวด 1Q63 เป็นต้นไป จากความต้องการใช้ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง พร้อมกับได้ Sentiment บวกจากการเตรียมนำบริษัทลูก STGT เข้าสู่ตลาดในช่วง 3Q63 ถือเป็นการระดมทุนช่วยขยายกิจการให้ตอบรับกับความต้องการใช้ถุงมือยางได้ในเวลาที่เหมาะสม

รวมถึงกลยุทธ์ Pairs Trade น่าจะช่วยลดความเสี่ยงพร้อมกับสร้างโอกาสในการทำกำไรได้ดีในยามที่ตลาดผันผวน แนะนำ 2 คู่ คือ BTSGIF(Long)-BTS(Short Sell) และ BCP(Long)-BCPG(Short Sell) ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นทั้ง 2 คู่ ยังมีรูมให้ใช้กลยุทธ์ Pairs Trade ได้ ซึ่งคาดว่ามีโอกาส Outperform ตลาดได้ดีในภาวะที่ผันผวนเช่นนี้ อย่างไรก็ตามหากราคาหุ้นทั้ง 2 เคลื่อนไหวผิดทางเกินกว่า 5% แนะนำให้ตัดขาดทุนออกไปก่อน

Technical Buy Signal

KTC : เงินสดทันใจ

ราคาล่าสุด 33.75 บาท เปิดสถานะ 33.75 บาท เป้าหมาย 36.25 บาท จุดตัดขาดทุน 32.50 บาท

ประเด็นวิเคราะห์ :

KTC ภาพราย 60 นาที แกว่งตัวเป็นรอบ Sideway ชัด และยังสามารถยก Low และ ยก High ได้ มองว่ามีโอกาสฟื้นต่อ โดย อยู่ช่วงการแกว่งไปทดสอบ High ล่าสุดที่ 35.00 บาท นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า รูปแบบราคา หลังจากลงไปทดสอบเส้น EMA ระยะยาว ทุกครั้ง จะดีดกลับอย่างเร็ว สะท้อนภาพแรงซื้อยังคงหนาแน่น ภาพขาขึ้นยังชัด เชื่อว่าหากยังรักษารูปแบบการยก Low ขึ้นได้ Momentum บวกยังคงดี ขณะที่ MACD ตัด Signal Line ขึ้นมา สนับสนุนด้วย Volume ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ Price Action ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ประเมินแนวต้านถัดไปที่ 36.25 บาท (High วันที่ 10 มี.ค 63)

คำแนะนำ :

Follow Buy ที่ 33.75 บาท เป้าหมายทำกำไรที่ 36.25 บาท Cut loss 32.50 บาท

SCC : Test High

ราคาล่าสุด 336 บาท เปิดสถานะ 336 บาท เป้าหมาย 364 บาท จุดตัดขาดทุน 326 บาท

ประเด็นวิเคราะห์ :

SCC ภาพรายวัน แกว่งตัวในกรอบ Uptrend Channel โดยมีเส้น EMA 10 วัน ทำหน้าที่เป็นแนบรับ โดยล่าสุดแกว่งแคบๆบริเวณกรอบล่าง ประเมินว่า ภาพรวม ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ล่าสุดจะเห็นได้ว่า อยู่ในลักษณะการพักตัวอีกครั้ง โดยรอบนี้ถอยลงมา ก็มีแรงซื้อกลับ ปิดเป็นแท่งเทียนเม็ดแดง หางยาว บ่งชี้มีแรงซื้อกลับเข้ามา รอบของการขึ้นยังดี

เชื่อว่า หากไม่หลุด Low ล่าสุด (เส้น EMA 10 วัน) 332 บาท น่าจะมีโอกาสเกิด Technical Rebound ได้ในระยะถัดไป ทั้งนี้ ประเมินแนวต้านถัดไปไว้ที่ 364 บาท

คำแนะนำ :       

Follow Buy ที่ 336 บาท เป้าหมายทำกำไรที่ 364 บาท และ Cut Loss ที่ 326 บาท

ASPS Technical Portfolio

*หมายเหตุ: หากราคาไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดภายใน 3 วัน แนะนำปิดสถานะเพื่อลดความเสี่ยง

**ปรับกลยุทธ์: เปลี่ยนจุดเข้าซื้อหรือจุดขาย

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ชาญชัย พันทาธนากิจ,

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 064045

ธนัฐธร เกิดเนตร,

ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!