- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 16 October 2014 16:00
- Hits: 1846
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Slow
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้บวกเป็นวันที่ 2 เพียง 0.63 จุด มาอยู่ที่ 1,547.41 จุด มูลค่าการซื้อขาย 39,327 ล้านบาท
เงินทุนต่างชาติชะลอต่อเนื่อง แม้ว่าจะกลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นไทย 1,200 ล้านบาท แต่กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures วันแรกในรอบ 4 วันทำการ 1,166 สัญญา และซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้ 2,013 ล้านบาท ล้านบาท สะท้อนมุมมองต่อการลงทุนในไทยเป็นกลาง
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ MBKET คาด SET INDEX เปิดย่อตัวลงทดสอบ 1,535-1,540 จุด ด้วยบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียที่เป็นลบ จากความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป อย่างไรก็ตาม downside risk ของตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 วันนี้ยังคงจำกัด จากแรงขายหุ้นหลักในกลุ่มธนาคารชะลอตัว เพื่อรอดูผลการดำเนินงาน 3Q57 ที่จะทยอยประกาศมากขึ้นในวันพรุ่งนี้ ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยว / สายการบินต้นทุนต่ำ จะยังมีความโดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของครม. และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำ
สำหรับรายงาน Beige Book พบว่าเศรษฐกิจโดยรวมเติบโตปานกลางถึงดีเล็กน้อย ทั้งในแง่ของภาคการใช้จ่าย, การจ้างงาน และการก่อสร้าง แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเห็นของประธานเฟดในการหารือนอกรอบกับนักการเมืองช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มั่นใจต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีความเสี่ยงมากขึ้นก็ตาม
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ เรายังคงแนะนำให้เป็น “Swing Trade คือ ขึ้นแรงขาย และลงแรงซื้อ” หุ้นขนาดกลางที่มีประเด็นการลงทุนเชิงบวกเฉพาะ
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” AAV / SVI
Portfolio Top Pick in 4Q14: BEUATY / IFEC/ LPN/ PTT/ VGI
HOLD: SAMART/ SPCG/ IFEC/ BTS/ SIM/ CK/ LPN/ VGI/ PTT/ KTB
Speculative Buy: AAV/ SVI
Action and Stock of the Day
SET INDEX ยังไม่ผ่าน 1,550 จุด
SET INDEX คาดวันนี้เปิดย่อลงทดสอบ 1,535-1,540 จุด แต่วอลุ่มยังคงเบาบาง
คาดกลุ่มธนาคาร ทรงตัว ช่วยปิด Downside risk ของ SET INDEX
หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง อย่าง BEAUTY / IFEC / LPN / TTA / VGI เป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรในระลอกของการดีดตัวช่วงสั้น
กลยุทธ์การลงทุน Swing Trade ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ปิดบวก – ลบ สลับกันไปในแต่ละตลาด เช่นเดียวกับวันก่อนหน้า ทั้งนี้ TAIEX ปิดลบแรงสุดในเอเชีย -1.29%
ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดฟื้นตัว ขึ้นไปแกว่งแคบ 1,555 จุด +/- ผลักดันโดยหุ้นหลัก KBANK / AOT / SCC รวมถึงแรงเก็งกำไรต่อหุ้นขนาดกลางที่มีประเด็นเชิงบวกเฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มท่องเที่ยว อย่าง ERW / AAV รวมถึงกลุ่มพลังงานทางเลือก อย่างไรก็ตามเกิดแรงขายระหว่างวันเข้าในช่วงท้ายตลาด กดดันให้ SET INDEX ปิดบวกเป็นวันที่ 2 เพียง 0.63 จุด มาปิดที่ 1,547.41 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 39,327 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดบวกเด่นสุดได้แก่ กลุ่ม Professional +5.29%, กลุ่มเหล็ก +2.84% และกลุ่มยานยนต์ +2.07% ส่วนกลุ่มหลักกลุ่มธนาคาร -0.30%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง +0.64% และกลุ่มพลังงาน -1.21%
ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชีย (7.26 น.) เช้านี้ Nikkei –Kospi เปิดลบ โดยเฉพาะ Nikkei ลบถึง 2.51% จากค่าเงินเยนที่แข็งค่า กดดันภาพรวมญี่ปุ่น
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ MBKET คงมุมมองเป็น “กลาง” เป็นวันที่ 15 และคงกรอบแกว่ง SET INDEX ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ระหว่าง 1,520-1,570 จุด และมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน อีกทั้งนักลงทุนทั่วโลกต่างรอดูผลการประชุมเฟดในวันที่ 28-29 ต.ค. เพื่อติดตามมุมมองต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในกลางปีหน้าจะปรับขึ้นได้หรือไม่
และหากประเมินจากจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก เป็น “กลางถึงลบ” หรือเข้าโหมด “กลัว (Fear)” สะท้อนได้จากระดับ VIX Index ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงกว่า 20 จุด ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเกิดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่สูญเสียโมเมนตัมของการเติบโตในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อียู / ญี่ปุ่น เสียโมเมนตัมการเติบโต ทำให้นักลงทุนขายเพื่อ Lock-in Profit และปิดความเสี่ยงในช่วงสั้น ด้วยการโยกเงินออกจากตลาดหุ้นใน DM และเข้าพักในตลาดตราสารหนี้ และทองคำ ขณะที่พื้นฐานเศรษฐกิจในตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย ยังรักษาโมเมนตัมได้ดี พร้อมกับความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ Valuation ของตลาดหุ้น EM อยู่ในโซนแพง ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง เท่านั้น
ทั้งนี้ MBKET ประเมินว่า SET INDEX และตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มจะปรับฐานเสร็จสิ้นในสัปดาห์นี้ และจะเริ่มทรงตัวดีขึ้นในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป เนื่องจาก
•วันที่ 20-23 ต.ค. จะมีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามแผนที่ประกาศไว้ รวมถึงการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ ทั้งนี้ตลาดต่างคาดหวังที่จะเห็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่อนคลายการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และการออกขายตราสารหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน MBKET เชื่อว่าหากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตัดสินใจ เพิ่มมาตรการด้านเศรษฐกิจ จะช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่เป็นบวก
•วันที่ 28-29 ต.ค. การประชุม FOMC ด้วยความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เศรษฐกิจในอียูที่สูญเสียโมเมนตัมของการเติบโต บวกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ กลายเป็นข้ออ้างที่เฟดอาจใช้ เพื่อคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำต่อไปอีก หลังสิ้นสุดโครงการ QE ในการประชุมนัดนี้ MBKET ประเมินถึงความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะฟื้นตัวก่อนการประชุมเฟดในนัดนี้ได้ ต่อประเด็นเสี่ยงดังกล่าว
•วันที่ 6 ต.ค. การประชุม ECB ณ ปัจจุบัน ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในอียู ส่งสัญญาณชะลอตัวมากขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวเช่นกัน อาจทำให้ ECB ต้องตัดสินใจ ชี้แจงรายละเอียดของโครงการเข้าซื้อสินทรัพย์ ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ MBKET ประเมินว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ ECB จะตัดสินใจของรัฐบาลอียู เพื่อเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศสมาชิกในกลุ่มอียู เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน และภาคธุรกิจ ดังที่เคยทำและประสบความสำเร็จมาแล้วในปี 2554
ด้วยปัจจัยภายนอกที่สำคัญตลอด 3 สัปดาห์ข้างหน้า ทำให้ MBKET เชื่อว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะเสร็จสิ้นการปรับฐานในสัปดาห์นี้ และเริ่มทรงตัวดีขึ้นในสัปดาห์หน้า เพื่อรอดูผลการประชุมนัดต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ด้านตลาดหุ้นไทย MBKET ให้น้ำหนักกับผลการดำเนินงาน 3Q57 ของกลุ่มธนาคาร ซึ่งทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. และหุ้นหลักในกลุ่มธนาคารจะประกาศในวันที่ 17 และ 21 ต.ค. เป็นประเด็นที่นักลงทุน โดยเฉพาะกองทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจ เพราะ
•หากงบกลุ่มธนาคารออกมาใกล้เคียงหรือดีกว่าที่ตลาดคาด เชื่อว่าแรงขายหุ้นหลักเริ่มลดลง และอาจกลับมาเพิ่มน้ำหนักเป็นรายหลักทรัพย์ได้
•แต่หาก งบออกมาแย่กว่าคาด เชื่อว่าจะเกิดแรงขายลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นหลักกลุ่มธนาคารต่อเนื่อง แต่จะเป็นสัดส่วนที่ชะลอตัวมากขึ้น เพื่อปิดความเสี่ยงช่วงสั้น
กลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “นักลงทุนพิจารณา ขึ้นแรงขาย – ลงแรงซื้อ” เพื่อปิดความเสี่ยงในช่วงที่ทิศทางการลงทุนไม่ชัดเจน ความผันผวนอยู่ในระดับสูง
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว หรือระยะเวลาการลงทุน 3 เดือนขึ้นไป ทีมกลยุทธ์ MBKET แนะนำให้ “ทยอยสะสม” เมื่อ SET INDEX เกิดการย่อตัวต่ำกว่าระดับ 1,540 จุด หุ้นที่มีประเด็นการลงทุนเด่น พร้อมกับแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานที่เด่นกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มอุตฯ เดียวกัน เป็นทางเลือกของการลงทุน หาก ราคาหุ้นเกิดการปรับฐานลงระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย หุ้น Top Pick : BEAUTY / IFEC / LPN / TTA / VGI ขณะที่หุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ที่ช่วยปิด downside risk ของราคาหุ้นได้แก่ BTS / TRUEIF สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ
ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.คาดกลุ่มธนาคารจะทรงตัวถึงขยับขึ้นเก็งกำไรต่องบ 3Q57: วานนี้ TMB รายงาน 3Q57 ทำกำไรสุทธิได้ถึง 2.4 พันล้านบาท เติบโต 28% yoy แต่ลดลง 7% qoq ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์อย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วย 2.2 พันล้านบาท
MBKET เชื่อว่าสถาบันทั้งในและต่างประเทศจะถือหุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร เพื่อรอดูผลการดำเนินงาน หลังลดน้ำหนักการลงทุนไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ แต่อาจเห็นแรงเก็งกำไรรายตัว หากราคาตลาดเปิดโอกาส MBKET ให้น้ำหนักกับ KBANK / KTB ที่คาดกำไร 3Q57 เติบโตเด่น yoy และ qoq
•วันที่ 17 ต.ค. BAY / BBL / KBANK / SCB / TCAP
•วันที่ 21 ต.ค. KTB
2.Beige Book ยังส่งสัญญาณเศรษฐกิจเติบโตปานกลางถึงดีเล็กน้อย: ทั้งในแง่ของการจ้างงาน, ภาคการผลิต และการก่อสร้าง โดยรวมรายงานล่าสุดใกล้เคียงกับการรายงานครั้งก่อน แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืนวานนี้จะออกมาต่ำกว่าคาดทุกรายการก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ประธานเฟด ยืนยันและเชื่อมั่นต่อภาพรวมเศรษฐกิจในสหรัฐฯ จะยังเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 3.0% พร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่ 2.0% ในระยะยาว แม้ว่าความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกจะมีน้ำหนักมากขึ้นก็ตาม
3.เงินทุนยังวิ่งเข้าพักใน Safe Haven ต่อเนื่อง: วานนี้ตัวเลขเงินเฟ้ออังกฤษที่ชะลอตัวลง บวกกับ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด กลายเป็นประเด็นที่ทำให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง และเข้าพักในตลาดตราสารหนี้ รวมถึงเงินเยนญี่ปุ่น เพื่อปิดความเสี่ยงดังกล่าว ดังจะเห็นได้จาก
•ตลาดหุ้นยุโรป และ สหรัฐฯ ปรับฐานลงต่อเนื่อง
•ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง วานนี้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลงมากถึง 9.68bps ปิดที่ 2.0992% เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556 แม้ว่าเฟดจะเดินหน้ายุติ QE ในการประชุมปลายเดือนนี้ก็ตาม
•ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ขณะที่เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าอย่างโดดเด่น คืนวานนี้ เมื่อความเสี่ยงในสหรัฐฯ มีน้ำหนักอีกครั้ง ทำให้นักค้าเงินลดน้ำหนักการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ และกลับมาพักในเยนญี่ปุ่น เพื่อปิดความเสี่ยง
MBKET ประเมินภาพดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไปภายในสัปดาห์นี้ และมีความเป็นไปได้สูงมากที่ ตลาดจะกลับมาเก็งกำไรต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งจาก ECB / จีน / เฟด ด้วยการส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
4.เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่า กดดันตลาด Nikkei: เช้านี้ค่าเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าแตะระดับ Yen105/US$ บวกกับการปรับฐานลงของ DJIA คืนวานนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้น Nikkei ปรับฐานลงแรงในเช้าวันนี้ จากปัจจัยลบทั้ง 2 ด้าน
วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 15.71 13.48 15.70 13.47
PSE 19.62 16.93 19.53 16.87
JSE 15.78 13.40 15.85 13.53
KOSPI 9.75 8.49 9.86 n.a
TAIEX 13.65 12.55 13.83 12.71
Straits Time 14.08 12.97 14.08 12.98
SHCOMP 9.42 8.31 9.36 8.26
ที่มา: Bloomberg
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ได้แก่
1.AAV : ราคาปิด 4.48 บาท ราคาเหมาะสม 5.20 บาท
a)MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มสายบิน Low Cost Airline จะยังเคลื่อนไหว Outperform ตลาดต่อเนื่อ จาก Sentiment บวก หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลง และอานิสงค์จากมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่ครม.อนุมัติในวันอังคารที่ผ่านมา โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านโรงแรมมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท โดยมีผลบังคับใช้ถีงวันที่ 31 ธ.ค. 2558
b)ดังนั้น เราคาดว่า AAV จะได้ประโยชน์โดยตรง เนื่องจากมีส่วนแบ่งตลาดการบินในประเทศสูงเป็นอันดับ 1 จึงคาดว่า Loading Factor จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 4Q57
c)คาดผลประกอบการ 3Q57 จะพลิกเป็นกำไร จากขาดทุนสุทธิใน 2Q57 และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง -4.5% dod เหลือ US$81.84/barrel และลดลง 10.2% QTD ใน 4Q57 จะส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง
d)คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2558 ที่ 1,671 ล้านบาท +240% yoy เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มสายการบิน และราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ระดับ PBV 2558 เพียง 0.79 เท่า
2.SVI : ราคาปิด 5.15 บาท ราคาเหมาะสม 7.00 บาท
a)MBKET คาดว่าหุ้นขนาดกลาง จะเคลื่อนไหว Outperform ตลาดที่ผันผวนได้ เนื่องจากได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างจำกัดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ
b)คาดกำไรปกติ 3Q57 เติบโต +52.8% yoy และ +15.3% qoq เป็น 234 ล้านบาท จากผลบวกตามฤดูกาล และคำสั่งซื้อของลูกค้าเก่าและใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าผลประกอบการ 4Q57 จะยังขยายตัวต่อเนื่องและเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี
c)มี Catalyst รออยู่ คือการเข้าซื้อกิจการในยุโรปที่อาจได้ข้อสรุปเร็วขึ้น และเป็น Upside Risk ต่อประมาณการในระยะยาวของเราตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป
d)คาดกำไรปกติปี 2557 เติบโต +68.7% yoy เป็น 825 ล้านบาท และปี 2558 เติบโต +36.4% yoy เป็น 1,126 ล้านบาท และฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็น Net Cash Company
e)Valuation น่าสนใจ โดยซื้อขายระดับ PER 2558 ที่ 10.3 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีปีละ 5%
What will DJIA move tonight? คืนนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ ยอดขอสวัสดิการว่างงาน, ผลผลิตภาคอุตฯ
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติวานนี้ขายสุทธิเป็นวันที่ 4 อีก US$196 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$196 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX -130.2 -88.3 10,117.8 9,188.0
KOSPI n.a -277.7 6,047.6 4,875.1
JSE -15.0 -40.1 3,809.0 -1,806.4
PSE -8.2 -25.6 1,031.6 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม -5.5 -1.4 186.3 263.2
SET INDEX -36.9 7.7 -248.2 -6,210.5
Foreign Investors Action วานนี้
เงินทุนต่างชาติชะลอตัว
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) -1,200 +250
SET50 Index Futures (สัญญา) +1,166 -764
SSF (สัญญา) +776 +421
Metal Futures (สัญญา) -120 +230
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) +2,013 -2,643
นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง 1,200 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 9,828 ล้านบาท
แต่กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 1,166 สัญญา เทียบกับตลอด 3 วันทำการก่อนหน้า Short สุทธิ 7,059 สัญญา คาดว่าจะเป็นการทยอยปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ก่อนหน้า ส่งผลให้ S50Z14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แคบลงเหลือ 2.97 จุด จากวันก่อนหน้า Discount มากถึง 5.72 จุด
และตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาซื้อสุทธิ 2,013 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลงแรง 2.39bps ปิดที่ 3.316%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ลดลงเหลือ 602 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,296 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
KBANK 93.29 9.20% 225.72
PTT 89.92 7.37% 354.70
PTTEP 60.14 4.61% 148.43
TMB 44.85 5.75% 3.04
TOP 30.59 10.14% 47.70
NVDR Movement
NVDR กลับมาขายสุทธิอีกครั้ง โดยคงการลดน้ำหนักในกลุ่มพลังงาน และธนาคาร
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้กลับมาขายสุทธิเล็กน้อย 80 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิเพียง 48 ล้านบาท ยังคงเป็นการปรับน้ำหนักระหว่างกลุ่มหลัก โดยกลุ่มธนาคารและพลังงานกลายเป็นเป้าหมายหลักของการลดน้ำหนักต่อเนื่อง ภาพรวมการลงทุนผ่าน NVDR สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มธนาคารขายสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 391 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 202 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ขายสุทธิ 391 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 244 ล้านบาท กลุ่มอาหารขายสุทธิ 89 ล้านบาท
2.ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลับถูกซื้อสุทธิสูงสุด 171 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มปิโตรเคมี ซื้อสุทธิ 148 ล้านบาท กลุ่มอสังหาฯ ซื้อสุทธิ 145 ล้านบาท กลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 135 ล้านบาท และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซื้อสุทธิ 111 ล้านบาท
ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
SCC 156.29 39.93 BBL -322.36 20.23
PTTGC 150.07 23.17 PTTEP -271.50 13.70
ADVANC 133.68 26.75 PTT -107.21 10.82
KCE 122.11 33.58 CPF -98.89 6.75
KTB 86.53 11.32 KBANK -84.73 53.06
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong