- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 05 May 2020 11:47
- Hits: 2071
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 5-5-2020
กลยุทธ์การลงทุน
เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน : ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงราว 2-3% โดยเริ่มมีความกังวลมากยิ่งขึ้นต่อถ้อยแถลงของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กลับมาขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เนื่องจากเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะหดตัว จุดนี้เองอาจทำให้ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนมีโอกาสกลับมาปะทุอีกรอบหนึ่ง กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นมาตอบการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ทั่วโลกไปพอสมควรแล้ว โดยมุมมองของเราประเมินประเด็นสงครามอาจเข้ากระทบทิศทางทางการลงทุนได้อีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่ารอบนี้อาจจะไม่รุนแรงเหมือนช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก ณ ปัจจุบันก็ใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเข้ามาทุกที ซึ่งคะแนนความนิยมของทรัมป์ดูจะแผ่วลงเรื่อยๆ ดังนั้นการกระทำต่างๆของทรัมป์คงต้องทำอย่างรอบคอบมากขึ้นเพื่อเรียกคะแนนความนิยมกลับมาให้ได้ ส่วนในบ้านเราแน่นอนว่า การรีบาวน์ของ SET จากจุดต่ำสุดในรอบที่ผ่านมาที่ 969 จุด มาระดับปัจจุบันที่ 1301 จุด คิดเป็นการปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 34% ซึ่งคาดว่าเป็นการตอบรับการผ่อนคลาย Lockdown ไปในระดับหนึ่งแล้ว ในขณะที่หากมาพิจารณาในเชิงปัจจัยพื้นฐานพบว่า SET ณ ระดับปัจจุบันคิดเป็น Forward PE 17.6 เท่า หรือเทียบเคียงระดับค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 10 ปี +2.0SD ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างตึงตัว ดังนั้นในระยะสั้นอาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังต่อโอกาสในการปรับฐานของ SET ได้
Investment Strategy : วันนี้คาด SET แกว่ง sideway ประเมิน แนวรับ 1,280 ต้าน 1,315 จุด แนะเก็งกำไรโดยใช้สัดส่วนเพียง 20% ของพอร์ท แนะนำ “CHG, CPALL, PTTEP, SPRC”
SET Index : คาด SET จะเปิด “กระโดดลง” โดยแนววัดใจแรกคือ 1260 วันพฤหัสบดี SET เร่งตัวในช่วงโมงสุดท้ายปิด High พร้อมปริมาณซื้อขายหนาแน่น ผนวกกับการเข้าซื้อหนักหน่วงของสถาบันในประเทศถึง 4.9 พัน ลบ. จากการเข้าซื้อกลับในกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และ ธนาคาร ซึ่งจะเห็นว่าเป็นหุ้น zone ล่างทั้งสิ้น ดังนั้นเราคาดว่า sentiment ลบวันนี้ จะทำอะไร SET ไม่ได้มากนัก แนะกลยุทธ์ดักซื้อที่แนวรับสำคัญ
กลยุทธ์การลงทุน
มีหุ้น : ผู้ที่รับความเสี่ยงสูงและห่อหุ้นข้ามมา หลุด 1283 แนะ stop-loss โดยแนวที่ห้ามหลุด คือ 1250 หากหลุดควรเริ่มกระชับพอร์ต ไม่มีหุ้น : ดูแรงขายแนวแรกที่ 1260+/- หากแรงขาย
- Karnchang (CK) คาด 1Q63 จะมีกำไรเล็กน้อย
ประเด็นการลงทุน
คาด 1Q63 จะมีกำไรเพียงเล็กน้อย 50 ล้านบาท (-80%QoQ, -86%YoY) ปรับประมาณการลดลง จาก BEM ถูกกระทบจาก Covid-19 และ CKP โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำถูกกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลประกอบการปีนี้จะทรุดลง 27% เหลือ 1,297 ล้านบาท แต่แนวโน้มในปี 2564 คาดจะดีขึ้น จากจะได้งานเพิ่มรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการขนาดใหญ่จะเปิดประมูล และ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาว มีแนวโน้มจะได้ข้อสรุปในปีนี้ แนะนำ TRADING BUY ในช่วงอ่อนตัว หลังหุ้นดีดกลับ 33% ราคาเป้าหมาย โดยวิธี Sum of the Part 24 บาท ลดจาก 25 บาท
คาด 1Q63 จะมีกำไรเพียงเล็กน้อย 50 ล้านบาท
CK จะประกาศผลประกอบการ 15 พ.ค นี้ เราคาด 1Q63 จะมีกำไรเพียงเล็กน้อย 50 ล้านบาท (-80%QoQ, -86%YoY) เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BEM และ CKP จะลดลงเหลือ 95 ล้านบาท (-68%QoQ, -63%YoY) จาก BEM ได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 และ CKP ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และ จาก Backlog ที่ต่ำ เราประเมิน 1Q63 จะมียอดรับรู้รายได้ในระดับต่ำ เท่ากับ 5,100 ล้านบาท (-2%QoQ, -32%YoY) อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน 9% จากเป็นงานต่อเนื่อง แต่ดีขึ้นจากปีก่อน 8.6% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดทรงตัว526ล้านบาท (+7%QoQ, 0%YoY)
ปรับประมาณการลง จาก BEM ถูกกระทบ Covid-19 และ CKP ภัยแล้ง
Backlog ของ CK ค่อนข้างต่ำ 4.3 หมื่นล้านบาท สำหรับรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน 2.2 แสนล้านบาท คาดจะเจรจาแบ่งงานก่อสร้างเร็วๆนี้จะช่วยเพิ่มงาน ทำให้แนวโน้มการรับรู้รายได้งานรับเหมาก่อสร้างในปีนี้จะอยู่ในระดับต่ำ สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BEM และ CKP ปีนี้จะประสบปัญหา โดย BEM จำนวนผู้โดยสารได้ลดลงจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่วน CKP ประสบปัญหาจากภัยแล้งทำให้การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนลดลง ดังนั้น เราจึงปรับลดประมาณการลง หลักๆจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BEM และ CKP จะลดลง เราประเมินรายได้ 21,007 ล้านบาท ลดลง 8.7% และ มีกำไร 1,297 ล้านบาท ลดลง 27%
โครงการขนาดใหญ่เตรียมเปิดประมูล
โครงการขนาดใหญ่หลายโครงการมีความคืบหน้า คือ รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม 1.4 แสนล้านบาท รับฟังความเห็นร่าง TOR แล้ว คาดจะขายซองเดือน พ.ค.-มิ.ย. รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ 1 แสนล้านบาท มีความคืบหน้า ครม. ได้อนุมัติ พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินแล้วเมื่อวันที่ 28 เม.ย. รถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย3เส้นทางวงเงิน2หมื่นล้านบาท คาดจะเปิดประมูลมิ.ย.นี้
ความเสี่ยง : อุปสรรคในการก่อสร้าง ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ปัญหาแรงงาน งานล่าช้า
BJC Heavy Industries (BJCHI) กำไรปกติ 1Q63 จะลดลง แต่ปี 63 จะฟื้นตัว
ประเด็นการลงทุน
คาดกำไรปกติ 1Q63 จะลดลง เหลือ 10 ล้านบาท (-79%QoQ, -69%YoY) แต่เมื่อรวมกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านบาท (+136%QoQ, +1,868%YoY) Backlog ในมือสูง 4.7 พันล้านบาท คาดผลประกอบการปี 2563 จะฟื้นตัวดีขึ้น BJCHI มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีหนี้เงินกู้ ในขณะที่มีเงินสดในมือสูง มีอัตราเงินปันผลตอบแทนดี 9% แนะนำ TRADING BUY ช่วงอ่อนตัว จากกำไรปกติไตรมาส1Q63 จะไม่ดี เป้าหมาย 2.50 บาท
คาดกำไรปกติ 1Q63 จะลดลง แต่กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น
เราคาดกำไรปกติ 1Q63 จะลดลงเหลือ 10 ล้านบาท (-79%QoQ, -69%YoY) แต่ถ้ารวมกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจากการแข็งค่าของเงินบาทประมาณ 50 ล้านบาท จะมีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านบาท (+136%QoQ, +1,868%YoY) กำไรปกติที่ลดลงเนื่องจาก อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะปรับลดลงเหลือ 15.5% จาก 19.1% ในไตรมาสก่อน และ 18% ในปีก่อน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดจะพุ่งขึ้นเป็น 109 ล้านบาท (+138%QoQ, +132%YoY) เนื่องจาก มีค่าใช้จ่ายพิเศษในช่วงการเตรียมงานโครงการใหม่ และ ค่าขนส่งงานไปต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ยอดรับรู้รายได้ในไตรมาสนี้คาดจะเพิ่มเป็น 690 ล้านบาท (+52%QoQ, +81%YoY)
งานในมือสูง หนุนรายได้ปีนี้เติบโตสูง
เดือน มี.ค.-เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา BJCHI ได้งานใหม่ 4 โครงการ รวม 1,630 ล้านบาท ทำให้ Backlog เพิ่มเป็น 4.7 พันล้านบาท นอกจากนี้ BJCHI มีงาน Potential Project ที่กำลังประมูลประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท จะช่วยเติม Backlog โดยในช่วง 3Q63 มีแนวโน้มจะได้งานเพิ่มเติมอีกประมาณ 60 ล้านเหรียญ จากลูกค้าเดิม ทำให้ปีนี้ผู้บริหาร BJCHI ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท เติบโต 50% สำหรับประมาณการของเราประเมินรายได้ปีนี้ 2,750 ล้านบาท โต 36% และ มีกำไรเท่ากับ 268 ล้านบาท โต 468%
หุ้นปันผลดี แนวโน้มฟื้นตัว
BJCHI มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีหนี้เงินกู้ ในขณะที่มีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราว 692 ล้านบาท และ มีเงินที่ยังไม่ได้เรียกเก็บจากลูกค้าอีก 1.3 พันล้านบาท มีอัตราเงินปันผลตอบแทน 9% แนวโน้มกลับมาเติบโต เราแนะนำ TRADING BUY ช่วงอ่อนตัว ประเมินราคาเป้าหมาย 2.50 บาท ใกล้เคียงมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น
ความเสี่ยง : ต้นทุนที่มากกว่าประมาณการ / การแข่งขันในงานประมูล
Srisawad Corporation (SAWAD TB) รายได้ชะลอตัว
ลดประมาณการ/ราคาเป้าหมาย คงคำแนะนำ ซื้อ
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 63-64 ลง 8-9% เพื่อสะท้อนผลกระทบจาก Covid-19 ต่อการเติบโตของรายได้ที่ลดลงและต้นทุนสินเชื่อที่สูงขึ้น เราไม่กังวลเรื่องสภาพคล่องเนื่องจาก SAWAD มีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่ยังไม่ได้ใช้ประมาณ 6 พันล้านบาท แต่เรากังวลเกี่ยวกับสินเชื่อจำนองโฉนดที่ดิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจส่วนตัวที่มีความเสี่ยงสูง คงคำแนะนำ ซื้อ และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 62 บาทจาก 74 บาท (P / E ปี 63 ที่ 20 เท่า, P / BV 3.8 เท่า และ LT ROE 22%) ความเสี่ยงหลักๆ ได้แก่ คุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้
ผลประกอบการ 1Q20 ยังคงแข็งแกร่ง
เราคาดว่า SAWAD จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1Q20 ที่ 977 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% YoY จากการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง แต่ลดลง 11% QoQ จากฐาน non-NII ที่สูงในไตรมาส 4Q19 สินเชื่อจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 21% YoY และ 3% QoQ ในขณะที่ NIM คาดว่าจะลดลง 100 bps QoQ จากอัตราผลตอบแทนสินเชื่อที่ลดลง คาด OPEX จะเพิ่มขึ้น 17% YoY จากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขยายสาขาและการติดตามหนี้ อัตราส่วน NPL คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 30bp QoQ เป็น 4.1% ในไตรมาส 1Q20 เนื่องจาก Covid-19 และการปิดเมืองในช่วงปลายเดือนมีนาคม SAWAD สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นสำหรับการดำเนินงานด้านสินเชื่อและการติดตามหนี้ในไตรมาส 1Q20 โดยจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 1Q20 ในวันที่ 15 พฤษภาคม
รายได้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวในไตรมาส 2Q20
เราคาดว่าการเติบโตของรายได้สินเชื่อและค่าธรรมเนียมจะชะลอตัวเนื่องจากมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาหนี้เพื่อควบคุมคุณภาพสินทรัพย์มากกว่าเปิดสาขาใหม่ใน 2Q20 โดย SAWAD ได้ลดเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันลงเหลือ 20% จาก 40% สำหรับสินเชื่อจำนำโฉนดที่ดิน และ 40% จาก 45% สำหรับสินเชื่อทั้งหมด ซึ่งจะช่วยควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสินเชื่อที่ลดลงและการเติบโตของ NII ทั้งนี้ SAWAD ได้มอบข้อเสนอให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส โดยให้เลือกระหว่าง (1) ยืดเวลาการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลาสามเดือน หรือ (2) ลดอัตราผ่อนชำระรายเดือนลง 30% เป็นเวลาหกเดือน
คาด NPL coverage สูงขึ้นและมูลค่าทางบัญชีลดลงจาก TFRS9
เราคาดว่า SAWAD จะมีการตั้งสำรองเพิ่มเติมโดยการหักส่วนของผู้ถือหุ้นโดยตรงจากงบดุลเนื่องจาก NPL coverage ลดลงเหลือ 57% ในปี 2562 จาก 97% ในปี 2561 ซึ่งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน แต่มูลค่าทางบัญชีจะลดลงจากฐานทุนที่ปรับลดลง
Major Cineplex Group (MAJOR) ยังมีความไม่แน่นอน
ประเด็นการลงทุน
เราเห็นว่ายังเร็วเกินไปที่จะเข้าเก็งกำไร MAJOR โดยคาดว่าผลประกอบการจะขาดทุนใน 1Q63-3Q63 และอาจเริ่มฟื้นตัวในช่วง 4Q63 เป็นอย่างเร็วหากโรงหนังกลับมาเปิดตั้งแต่เดือน ก.ค. และหนังฟอร์มใหญ่กลับเข้ามาฉาย เราปรับลดประมาณการปีนี้เป็นขาดทุนก่อนจะฟื้นตัวเป็นกำไรในปี 2564 ราคาเป้าหมาย (SOTP) ปรับลดลงเป็น 13.80 บาท แนะนำ ถือ
คาดผลประกอบการขาดทุนใน 1Q63
จากการที่ภาครัฐให้ปิดโรงหนังตั้งแต่ 18 มี.ค. เราประเมินว่า MAJOR จะมีผลประกอบการ 1Q63 ขาดทุน 203 ล้านบาท เทียบกับกำไร 205 ล้านบาทใน 1Q62 แม้ในเดือนม.ค.- ก.พ. ยังมีการเปิดโรงหนังตามปกติ แต่รายได้ลดลงจากการที่ไม่มีหนังฟอร์มใหญ่ที่ทำรายได้สูง และเริ่มได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้เมื่อต้นเดือน มี.ค. คนเข้าโรงหนังในกรุงเทพฯ ลดลง 60-70% เราคาดว่ารายได้ 1Q63 ลดลง 46% YoY ขณะที่ยังต้องบันทึกต้นทุนและค่าใช้จ่ายในช่วงเริ่มปิดโรงหนัง คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 33% ใน 1Q62 เป็น 22.3% ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดว่าจะลดลง 19% YoY จากการที่ SF ปิดโครงการตั้งแต่ 22 มี.ค.
แนวโน้มขาดทุนต่อเนื่องใน 2Q63-3Q63
เราคาดว่า MAJOR จะขาดทุนต่อใน 2Q63-3Q63 ภายใต้สมมติฐานการปิดโรงหนังถึงสิ้นเดือน มิ.ย. และเมื่อเปิดโรงหนังในระยะแรกคาดว่าจำนวนคนดูจะค่อนข้างน้อย จากความกังวลการระบาดของโควิด-19 อีกทั้งมีแนวโน้มที่หนังฮฮลิวูดฟอร์มใหญ่จะยังไม่เข้าฉาย เนื่องจากต้องรอฉายพร้อมกับประเทศอื่นๆ โดยอาจจะเลื่อนไปฉายปีหน้าหลังจากการระบาดคลี่คลาย อย่างไรก็ดี MAJOR มีการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้ลดลงอย่างมีนัยยะเช่นกัน ได้แก่ ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายพนักงาน ทำให้คาดว่ามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ยจ่าย รวมกันประมาณ 200 ล้านบาท/เดือน ฐานะการเงินยังมั่นคง คาดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.6 เท่าโดยชะลอการลงทุนบางส่วน และปรับลดเงินปันผล
รอผลประกอบการฟื้นตัวปีหน้า
จากสมมติฐานของเราว่าโรงหนังจะกลับมาเปิดในเดือน ก.ค. เราปรับลดประมาณการปีนี้จากกำไร 1,262 ล้านบาท เป็นขาดทุน 819 ล้านบาท แต่จะกลับมาฟื้นตัวเป็นกำไร 935 ล้านบาทในปี 2564 เนื่องจากฐานต่ำ และหนังฟอร์มใหญ่เลื่อนฉายมาจากปี 2563 เช่น Fast & Furious 9, Top Gun : Maverick, Black Widow, และ The Eternal อีกทั้งยังมีหนังที่กำหนดฉายในปี 2564 ทยอยเข้าฉายอีกด้วย
ความเสี่ยง: การปิดโรงหนัง โรคระบาด เหตุการณ์ไม่สงบ หนังทำรายได้ต่ำ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web