WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เคจีไอ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 29-4-2020KGI

ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)

ปรับขึ้น แต่ยังอยู่ในกรอบจำกัดต่อไป

KGI ประเมิน SET Index วันพุธไซด์เวย์/บวกกรอบจำกัด... ภาวะตลาดหุ้นไทยน่าจะคล้ายคลึงกับ 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีฯ แกว่งขึ้นรับความคาดหวังต่อการคลายล็อกดาวน์จากประเทศต่างๆ... ขณะที่ประเด็นการลงทุนในวันนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องดังกล่าว โดยรัฐนิวยอร์กเป็นรัฐถัดไป (และเป็นรัฐที่มีนัยสำคัญมากเชิงเศรษฐกิจ) ที่สหรัฐฯ เตรียมเปิดธุรกิจอีกครั้ง ขณะที่ในฝั่งยุโรปนั้น ประเทศสเปนแถลงแนวทางการคลายล็อกดาวน์เป็น 4 เฟส (คล้ายกับแนวทางของไทย) ก่อนจะเริ่มเปิดเมืองในสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่อิตาลีเตรียมเปิดเมืองในวันที่ 4 พ.ค. เช่นกัน สำหรับในฝั่งไทยนั้น แม้ว่าเมื่อวานนี้ที่ประชุม ครม. ได้มีมติขยายเวลา พรก. ฉุกเฉินและการเคอร์ฟิวช่วง 22.00 - 04.00 ไปถึงสิ้น พ.ค. แต่นายกฯ ประยุทธ์ ส่งสัญญาณว่าจะมีการทยอยผ่อนคลายให้ธุรกิจกลับมาเปิดทำการเร็วๆ นี้

โดยแบ่งธุรกิจเป็น 4 เฟส 4 สี ซึ่งประเด็นดังกล่าวน่าจะส่งผลให้มีแรงเก็งกำไรต่อเนื่องในหุ้นที่เชื่อมโยงกับการกลับมาเปิดภาคธุรกิจอีกครั้ง อย่างไรก็ดีความผันผวนของ SET Index จะยังดำรงอยู่ เพราะ valuations ของตลาดหุ้นที่ค่อนข้างสูง (พีอีปี 2563 อยู่ที่ 17.3x บนกำไร บจ. ของ consensus แต่หากคำนวณจากกำไร บจ. ที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน พบว่าพีอีปี 2563 อยู่สูงกว่า 19.0x แล้ว) ส่วนในค่ำคืนวันนี้ นักลงทุนควรติดตามผลประชุม ธ.กลางสหรัฐฯ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ KGI มองว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ใกล้ 0% และคงมาตรการพิเศษที่สำคัญไว้ทั้งหมด รวมทั้งการซื้อตราสารหนี้อย่างไม่จำกัดจำนวน      

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)

เก็งกำไร EPG*, CPF*

                EPG* (เป้า Consensus 7.3 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 4.50 บาท และ 4.44 บาท / แนวต้าน 4.8 - 5.0 บาท (Stop loss 4.38 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกจากต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ปรับลงต่อเนื่องอาทิ PP และ PE ที่ลดลงมาแล้วเฉลี่ยราว -30% YTD (ลดจากต้นทุนน้ำมันดิบ และดีมานด์ที่ชะลอตัว) 3) แม้ยอดขายของธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จะชะลอตัว แต่คาดว่ายอดขายของธุรกิจผลิตภัณฑ์พลาสติกจะฟื้นตัว (ดีมานด์จากการสั่งสินค้าแบบ Takeaway) และมีการปรับสายการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกไปผลิตหน้ากากอนามัย 4) PE ปีนี้ 12.2เท่า ... ข้อมูล Bloomberg consensus

                CPF* (เป้าพื้นฐาน 35 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 27.5 บาท / แนวต้าน 29 - 30 บาท (Trailing stop 26.5 บาท) 2) คาดรับอานิสงส์การส่งออกเนื้อไก่ในตลาดโลก หลังผู้ผลิตในประเทศบราซิลเริ่มได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทยประเมินคำสั่งซื้อจะโตแรงช่วง 3Q63 (เราคาดเป็น High Season + สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของประเทศลูกค้าทั้งยุโรป ญี่ปุ่นเริ่มดีขึ้น และตลาดจีน) 3) ฝ่ายวิจัยฯคาดผลการดำเนินงาน 1Q63 = 4.65 พันล้านบาท (+8.7% YoY, +16% QoQ) ... ทั้งนี้นักลงทุนอาจพิจารณาเก็งกำไร TFG ที่วันนี้ฝ่ายวิจัยฯออกบทวิเคราะห์คาดกำไร 1Q63 = 419 ล้านบาท (+105% YoY, +227% QoQ)

หุ้นมีข่าว

(+) กปน. เพิ่มมาตรการ4+1 ลดค่าน้ำประปาอีก 20 % ช่วยเหลือประชาชน จากการประชุมบอร์ด กปน. เมื่อ 27เม.ย. ที่ผ่านมา ได้สนองนโยบายเรื่องการลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนช่วงสถานการณ์โควิด-19 การบรรเทาความเดือดร้อนและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนโดยเพิ่มมาตรการช่วยเหลือ 4+1 ได้แก่

  1. ใช้น้ำฟรี 10 คิวแรก ทุกครัวเรือน
  2. ลดค่าน้ำประปา 20% ตั้งแต่คิวที่11
  3. ขยายระยะเวลาชำระค่าน้ำเป็น 6 เดือน สำหรับกิจการโรงแรมและที่พักอาศัย        
  4. ยกเว้นการตัดน้ำนาน 6 เดือน และ เพิ่มอีก 1 มาตรการคือ การคืนเงินประกันการใช้น้ำทุกรายมาตรการเพิ่มเติม 4+1 นั้น จะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้ใช้น้ำประปาในเขตรับผิดชอบของ กปน. (กรุงเทพมหานคร นนทบุรีและสมุทรปราการ) (Bisnews) ตามที่เคยให้ความเห็นว่า จะมีการใช้นโยบายกึ่งการคลังมากขึ้น เช่น การลดค่าบริการสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นกว่าที่เคยออกมาตรการก่อนหน้านี้ คาดว่าการประปาส่วนภูมิภาคจะดำเนินการในลักษณะเดียวกัน บวกกับการลดหย่อนค่าไฟฟ้าในช่วงก่อนหน้านี้ และ ราคาน้ำมันในประเทศลดลงแรง และผู้ค้าข้าวปรับลดราคาข้าวสารลง 5-50% จะเป็นส่วนหนึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมจะหดตัวลงมากกว่า -1.0% YoY คาดว่าจะมีการการลดราคาสินค้า และบริการสาธารณูปโภคหลังจากนี้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระทางด้านการเงินในช่วงวิกฤตโควิด-19

(+) นายกฯ ถกฟื้น THAI* วันนี้ ดัน 'ไทยสมายล์' กู้ 5 หมื่นล้าน (กรุงเทพธุรกิจ) นายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุม คนร. ถกแผนฟื้นฟู THAI* วันนี้ ชงคลังค้ำเงินกู้ ระยะสั้น 4-5 หมื่นล้าน หวังเติมสภาพคล่องถึงสิ้นปี โดยดัน "ไทยสมายล์" กู้แทน เหตุเครดิตดีกว่า พร้อมดันตั้ง 3 หน่วยธุรกิจ "ครัวการบิน-คาร์โก้-ศูนย์ซ่อมอากาศยาน" ด้าน สหภาพฯ จับตา หวั่นแปรรูปพ้นรสก.กระทบพนักงาน ขณะ THAI* แจ้งหยุดบินในประเทศเพิ่มอีก 4 เดือน

(+) AWC*-KTC*-TOA* เต็งจ๋า เข้าคำนวณ MSCI รอบนี้ ดัชนีวิ่งรับคลายล็อกดาวน์โบรกฯแนะกลุ่มค้าปลีก (ข่าวหุ้น) เปิดโผ 3 หุ้นเด่นตัวเต็ง AWC*-KTC*-TOA* เข้าคำนวณ MSCI Global Standard รอบนี้ ประกาศรายชื่อวันที่ 12 พ.ค. และมีผล 29 พ.ค.นี้ ยันหุ้นพื้นฐานดีทุกตัว ด้านตลาดหุ้นไทยวิ่งตอบรับคลายล็อกดาวน์ ฟากนักวิเคราะห์ยังแนะหุ้นห้างสรรพสินค้า ค้าปลีก ร้านอาหาร ที่ราคายังปรับขึ้นมาน้อย MBK* CENTEL* ZEN MINT* DOHOME AU และหุ้นที่เกี่ยวกับขนส่งทางบก BEM*, BTS* และ BTSGIF

(+) SPCG ทุ่มพันล้าน ลงทุนโซลาร์ญี่ปุ่น กำลังผลิต 480 MW (ข่าวหุ้น) SPCG ลุยโซลาร์ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ในญี่ปุ่น ขนาด 480 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 5.4 หมื่นล้านบาท ล่าสุดอัดงบลงทุนแล้วกว่า 1 พันล้านบาท จากงบทั้งสิ้น 2.7 พันล้านบาท ถือหุ้น 17.92% คาดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 66

(+ กลุ่มนิคมฯ) หั่นภาษีดูดต่างชาติย้ายฐาน (ไทยโพสต์) ครม.เฉือน 40,000 ล้าน/เว้นเก็บค่าธรรมเนียมรง. ครม.ยอมเฉือนภาษี 40,000 ล้าน ชวนต่างชาติลงทุนระบบอัตโนมัติ การจ้างบุคลากรทักษะสูง และส่งเสริมลูกจ้างให้มีทักษะเพิ่ม พร้อมไฟเขียวยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน

(+ กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม) 'แอตต้า' ลุ้นจีนกลับมาเที่ยวไทยมิ.ย.นี้ (กรุงเทพธุรกิจ) "แอตต้า" ลุ้นทัวริสต์ต่างชาติ โดยเฉพาะจีนคัมแบ็คเที่ยวไทย มิ.ย.-ก.ค.นี้ หวังมาตรการ "กพท." สั่งขยายเวลาห้ามเครื่องบินขนผู้โดยสารทุกชาติ มายังสนามบินในไทยชั่วคราวยาวถึง 31 พ.ค. หนุนไทยคุมเข้มโควิด-19 อยู่หมัด

จิตวิทยาตลาดวันนี้: --- นัยรับ 1269 จุด

วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นหรือปิดเหนือรับ 1269 จุดได้นั้น อาจผลักราคาขึ้นในกรอบ 1269-1299 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงปิดต่ำกว่านัยรับ 1269 จุดนั้น อาจทรงราคาลงในกรอบ 1269-1238 จุด

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้

                INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 76 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 50 บาท)

                CPALL* (เป้าพื้นฐาน 83 บาท) แนะนำ "Let profit run" (Trailing stop 66.5 บาท)

                CPN* (เป้าพื้นฐาน 56.5 บาท) ประเมินแนวรับ 48 บาท / แนวต้าน 50 บาท หาก Breakout ผ่านได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 52 - 56 บาท (Stop loss 46 บาท)

                EP (เป้าพื้นฐาน 5.1 บาท) ประเมินแนวรับ 3.26 บาท และ 3.20 บาท / แนวต้าน 3.40 - 3.56 บาท (Trailing stop 3.2 บาท)

                JMART (เป้า Consensus 12.3 บาท) ประเมินแนวรับ 8.0 บาท และ 7.8 บาท / แนวต้าน 8.45 - 9.0 บาท (Trailing stop 7.8 บาท)

                TFG (เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท) ประเมินแนวรับ 3.7 บาท / แนวต้าน 3.86 - 4.0 บาท (Trailing stop 3.6 บาท)

                BCPG* (เป้าพื้นฐาน 22 บาท) ประเมินแนวรับ 15.7 บาท / แนวต้าน 16.5 - 16.8 บาท (Trailing stop 15.5 บาท)

                TOP* (เป้าพื้นฐาน 55 บาท) ประเมินแนวรับ 37.5 บาท / แนวต้าน 41.5 - 43.0 บาท (Trailing stop 37.5 บาท)

                MTC* (เป้าพื้นฐาน 49 บาท) ประเมินแนวรับ 46 บาท / แนวต้าน 50 - 53 บาท (Trailing stop 45 บาท)

                TMB* (เป้าพื้นฐาน 1.38 บาท) ประเมินแนวรับ 0.91 บาท / แนวต้าน 0.95 บาท (Stop loss 0.90 บาท)

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้

                กลุ่มโรงไฟฟ้าน้ำหนักลงทุน "เท่ากับตลาดฯ" ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไรปกติ 1Q63 ของกลุ่มโรงไฟฟ้าในภาพรวมจะโตเด่น QoQ (ปัจจัยฤดูกาล และโรงไฟฟ้าหงสา Turnaround) แต่ทรงตัว YoY ทั้งนี้หุ้นโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ สำหรับหุ้นเด่น เลือก RATCH* (มี Catalystระยะสั้นคือ ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าหงสาฟื้นตัวเด่น), EGCO* ... อ่านรายละเอียดการ Preview งบ 1Q63 รายตัวในบทวิเคราะห์วันนี้เพิ่มเติม

                TFG แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร 1Q63 = 419 ล้านบาท (+105% YoY, +227% QoQ) จากยอดขายที่โต และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี แม้ว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจจะกระทบต่อยอดขายในประเทศ แต่คาดการส่งออกเนื้อไก่จะเติบโตชดเชยได้ ฝ่ายวิจัยฯจึงยังคงประมาณการฯ และคำแนะนำ "ซื้อ"

                AP* แนะนำ "ซื้อ" เป้าพื้นฐาน 5.7 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร 1Q63 = 590 ล้านบาท (-45% YoY, -33% QoQ) อย่างไรก็ดีคาดว่าผลการดำเนินงานจะเริ่มฟื้นตัวใน 2Q63 - 3Q63 จากการเริ่มโอนโครงการใหม่ๆ อาทิ Life ลาดพร้าว, Life อโศก-พระราม 9 และ Aspire อโศก-รัชดา ฝ่ายวิจัยฯยังคงแนะนำ "ซื้อ" จาก Backlog ของ AP* ที่แข็งแกร่งสุดในกลุ่มฯ และ Dividend yield +8% (ขึ้น XD วันที่ 12 พ.ค.63)

INDUSTRY UPDATE Thailand

Power Sector

ประมาณการ 1Q63: กำไรจะเพิ่มขึ้น QoQ จากฐานที่ต่ำ

Event

ประมาณการ 1Q63

lmpact

คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของกลุ่มจะเพิ่มขึ้น QoQ แต่ทรงตัว YoY

เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของกลุ่มโรงไฟฟ้าใน 1Q63 จะอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท (-1.3% YoY, +74.1% QoQ) โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ จะมาจาก i) ปัจจัยฤดูกาลของ IPP และอุปสงค์การใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ii) ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าหงสา (ปิดโรงไฟฟ้านอกแผนใน 4Q62) และ iii) ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะทรงตัว YoY เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซที่ลดลง (-5.2% YoY) ไปหักล้างกับการปิดซ่อมบำรุงตามแผน และ กระแสน้ำที่เข้าเขื่อนน้อยลงจากปัญหาภัยแล้ง เราคาดว่า Ratch Group (RATCH.BK/RATCH TB)* จะเป็นเพียงบริษัทเดียวในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เราดูแลอยู่ที่ทั้งกำไรจากธุรกิจหลักและกำไรสุทธิดีขึ้นใน 1Q63

ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จะฉุดกำไรใน 1Q63

เราคาดว่าผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ก้อนใหญ่เนื่องจากมีภาระหนี้ระยะยาวในสกุลดอลลาร์ เราคาดว่า Electricity Generating (EGCO.BK/EGCO TB)* และ Gulf Energy Development (GULF.BK/GULF TB)* จะมีผลขาดทุนสุทธิเพราะผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ ในขณะที่คาดว่าจะมีแค่ BCPG (BCPG.BK/BCPG TB)* และ CK Power (CKP.BK/CKP TB)* ที่จะมีสถานะสินทรัพย์สุทธิซึ่งทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ใน 1Q63

เราชอบ IPPs มากกว่า SPPs เพราะฟื้นตัวได้ดีกว่าจากวิกฤติภัยแล้งและ COVID-19

เราชอบผู้ประกอบการ IPP ระดับแนวหน้าอย่าง RATCH และ EGCO มากกว่าผู้ประกอบการ SPPs เนื่องจาก i) ค่าความพร้อมจ่าย (availability payment หรือ AP) ใน 2Q63 มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น QoQ เพราะ weighting factor ของ IPP สูงขึ้น ii) ไม่ถูกกระทบจากภัยแล้ง และ COVID-19 อย่างมีนัยสำคัญ (IPPs ใช้ AP ซึ่งอิงจาก availability factor ไม่ใช่ dispatch factor) ในขณะที่ผู้ประกอบการ SPP อย่างเช่น B Grimm Power (BGRIM.BK/BGRIM TB)* Global Power Synergies (GPSC.BK/GPSC TB)* และ GULF มีสัดส่วนรายได้จากผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมสูงอย่างมีนัยสำคัญ (BGRIM อยู่ที่ 24-25% GPSC อยู่ที่ 50-60% และ GULF อยู่ที่ 13-15%) ในขณะเดียวกัน การปิดอุตสาหกรรมยานยนต์ และวิกฤติภัยแล้งก็จะทำให้อุปสงค์การใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และ กฟภ. ก็ยังปรับลดค่าไฟฟ้าลงอีก 3% (ผูกกับอัตราค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม) ใน 2Q63 เราได้รวมผลกระทบจาก COVID-19 ต่ออุปสงค์การใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟในภาคอุตสาหกรรมไปเรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าหลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง หลาย ๆอุตสาหกรรมก็จะค่อย ๆ ใช้เวลาในการปรับเพิ่มการผลิตภายใต้สภาวะ ‘new normal’

Valuation & Action

เรายังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ Neutral เราชอบกลุ่ม IPPs (RATCH, EGCO) มากกว่า SPPs โดยเราชอบ RATCH เนื่องจาก i) โมเมนตั้มของกำไรใน 1H63 (พลิกฟื้นมาตั้งแต่ 4Q62) และ ii) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2563 น่าสนใจที่ 4.0% นอกจากนี้ เรายังมองว่า EGCO เป็นหุ้น defensive ระยะยาว ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตจากการทำดีล M&A (มีเงินสดในมือถึง 2.05 หมื่นล้านบาทพร้อมสำหรับใช้ทำดีล M&A ได้) และยังมี track record ในการขยายกำลังการผลิตในต่างประเทศอีกด้วย

Risk

ความล่าช้าในการจัดสรรกำลังการผลิตใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของทางการไทย โรงไฟฟ้าหยุดผลิตไฟฟ้า และความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการใหม่

AP (Thailand) ประมาณการ 1Q63: สะดุดชั่วคราว

Impact

มูลค่าโครงการเปิดใหม่ลดลง 40% YoY แต่เพิ่มขึ้น 41% QoQ

มูลค่าโครงการที่เปิดใหม่ของ AP ใน 1Q63 อยู่ที่ 8 พันล้านบาท (-40% YoY, +41% QoQ) โดยเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ในขณะที่ยอด presales ใน 1Q63 อยู่ที่ 6 พันล้านบาท แบ่งเป็น i) โครงการแนวราบ 5.1 พันล้านบาท (-18% YoY, +98% QoQ) และ ii) โครงการคอนโดมิเนียม 949 ล้านบาท (-85% YoY, -45% QoQ) ทั้งนี้ โมเมนตั้มของ Presales โครงการแนวราบยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่ของโครงการคอนโดมิเนียมโดยภาพรวมยังอ่อนแอเพราะไม่มีโครงการใหม่เปิดตัวใน 1Q63 (Figure 2)

คาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 45% YoY และ 33% QoQ

เราคาดว่ากำไรสุทธิของ AP ใน 1Q63F จะอยู่ที่ 590 ล้านบาท (-45% YoY, -33% QoQ) โดยกำไรที่ลดลง YoY จะเป็นเพราะยอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยลดลง 30% YoY กดดันจากทั้งโครงการแนวราบและโครงการคอนโดมิเนียมจากฐานที่สูงใน 1Q19 (ก่อนมาตรการ LTV จะมีผลบังคับใช้) ในขณะเดียวกัน กำไรที่ลดลง QoQ ส่วนใหญ่เป็นเพราะส่วนแบ่งกำไรจาก JV ลดลงเนื่องจากมีสองโครงการ (Life One Wireless และ Life สุขุมวิท 62) ที่เริ่มโอนใน 4Q62 ในขณะที่ไม่มีโครงการ JV ใหม่เริ่มโอนใน 1Q63 เลย (Figure 5)

ในแง่ของความสามารถในการทำกำไร เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจที่อยู่อาศัยใน 1Q63F จะอยู่ที่ 32% (+90bps YoY, -190bps QoQ) โดยอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะเป็นเพราะมียอดโอนโครงการ Vittorio น้อยลง ซึ่งเป็นโครงการที่อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลง 16%

เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563F ลง 16% เนื่องจากเราปรับลดสมมติฐานยอดโอนแนวราบลง 27% เพื่อสะท้อนถึงสมมติฐาน GDP ปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบถึง -8.4% YoY ในขณะเดียวกัน เรามองว่ายอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมจะยังเป็นไปตามประมาณการเดิมของเราเนื่องจากมี backlog อยู่ในระดับสูง

Valuation & Action

เราคาดว่าโมเมนตั้มกำไรของ AP จะกลับมาเติบโตได้ใน 2Q-3Q63 เนื่องจากมีการเริ่มโอนโครงการ Life ลาดพร้าว, Life อโศก-พระราม 9 และ Aspire อโศก-รัชดา ทั้งนี้ เนื่องจาก AP มียอด backlog แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เราศึกษาอยู่ ในขณะที่ระยะสั้นยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับ 8% (DPS: Bt0.4, กำหนดขึ้น XD วันที่ 12 พฤษภาคม 2563) เราจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐานใหม่ที่ 5.70 บาท อิงจาก P/E ปี 2563F ที่ 7.0x เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว -0.5 S.D.

Risks

ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอลง การก่อสร้างและกำหนดโอนล่าช้า

Thaifoods Group PCL

(TFG.BK/TFG TB)

lmpact

คาดว่ากำไรจะโตทั้ง YoY และ QoQ

เราคาดว่ากำไรสุทธิของ TFG ใน 1Q63 จะเพิ่มขึ้นเป็น 419 ล้านบาท (+105.0% YoY, +227.3% QoQ) เนื่องจากยอดขายที่สูงขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขี้น ซึ่งหากไม่รวมรายการที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงาน กำไรจากธุรกิจหลักจะเพิ่มขึ้น 86.7% YoY และ 183.3% QoQ โดยเราคาดว่ารายได้รวมใน 1Q63 จะอยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท (+14.6% YoY, +4.4% QoQ) เนื่องจากราคาไก่และหมูเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เรายังคาดว่า อัตรากำไรขั้นต้นจะขยับสูงขึ้นเป็น 13.4% ใน 1Q63 จาก 10.2% ใน 1Q62 และ 8.8% ใน 4Q62 เนื่องจากราคาหมูที่สูง และต้นทุนอาหารสัตว์ต่ำ

ราคาขายสินค้าดีขึ้นตามฤดูกาล ขณะที่ราคาอาหารสัตว์ยังต่ำ

ราคาไก่ในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 34.50 บาท/กก. ใน 1Q63 (+8.0% YoY, +3.8% QoQ) ในขณะที่ราคาหมูในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 71.3 บาท/กก. (+4.3% YoY, +22.2% QoQ) โดยราคาขายที่เพิ่มขึ้นมาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลจากเทศกาลตรุษจีน ส่วนในด้านของต้นทุนอาหารสัตว์ ราคาข้าวโพดในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 8.6 บาท/กก. ใน 1Q63 (-10.5 % YoY, -3.8% QoQ) ในขณะที่ราคากากถั่วเหลืองนำเข้าเฉลี่ยอยู่ที่ 11.7 บาท/กก. (-13.3% YoY, -0.6% QoQ) เนื่องจากอุปสงค์อาหารสัตว์โลกยังอ่อนแอ สำหรับในปี 2563 เรายังคงมองว่าการระบาดของโรค African Swine Fever (ASF) จะดำเนินต่อไป และต้นทุนอาหารสัตว์จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ

จีนน่าจะทำให้ปริมาณการส่งออกไก่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ COVID-19 อาจจะกระทบยอดขายในประเทศ

เราคาดว่าปริมาณการส่งออกไก่ของ TFG จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6หมื่นตัน (+13.3% YoY, +15.8% QoQ) ตามการส่งออกไปจีนที่เพิ่มขึ้น เรายังคงใช้สมมติฐานว่าการส่งออกไก่ของ TFG ในปีนี้จะโต 10% อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าช่องทางการจัดจำหน่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะบริการด้านอาหารจะถูกกระทบจากความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ใน 2Q63

Valuation & Action

ถ้าหากผลประกอบการ 1Q63 เป็นไปตามประมาณการของเรา ก็จะคิดเป็น 27% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ และคงราคาเป้าหมายปี 2563F เอาไว้ที่ 4.40 บาท อิงจาก PER เป้าหมายที่ 15.1x สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF.BK/CPF TB)* +0.5 S.D.

Risks

ปริมาณการส่งออกไก่ต่ำกว่าที่คาดไว้ ราคาไก่และหมูต่ำเกินคาด และต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น

Strategic SET daily

April 29, 2020                       Market strategy                    Thailand

1 อดิศักดิ์ คำมูล

2 66.2658.8888 ต่อ 8843

3 [email protected]

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!