WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 24-4-2020ASP

กลยุทธ์การลงทุน      

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2563

SET Index น่าจะอยู่ในช่วงปรับฐานรอปัจจัยใหม่ๆ ทึ่จะเข้ามาในสัปดาห์หน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข GDP 1Q63 ของหลายประเทศ การประชุมธนาคารกลาง รวมถึงการพิจารณาเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 ในประเทศ วันนี้แนะนำปรับพอร์ตโดย ขายทำกำไร DIF ซึ่งมีอยู่ 25% ของพอร์ตการลงทุน และนำเงินสลับเข้าลงทุนใน BTSGIF ซึ่งราคามีส่วนลดจาก NAV มาก สำหรับหุ้น Top Picks เลือก EA (FV@B 49) และ STA (FV@B 14)

         SET Index   1,272.53

       เปลี่ยนแปลง (จุด)   10.72

       มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท)   69,266

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย จับสัญญาณวันนี้

วานนี้ ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้นตลอดวัน จากจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศที่ดีขึ้น ทำให้เกิดความคาดหวังต่อมาตรการคลาย Lockdown มากขึ้น จึงทำให้ตลาดหุ้นปิดในแดนบวกที่ระดับ 1272.53 จุด เพิ่มขึ้น 10.72 จุด หรือ +0.85% มูลค่าการซื้อขาย 6.92 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่หนุนตลาดหลักๆ คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ PTT(+1.50%) PTTEP(+1.67%) GULF(+0.64%) GPSC(+0.70%) กลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL(+0.76%) HMPRO(+3.82%) CRC(+2.86%) และกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ PTTGC(+9.29%) GGC(+2.50%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น AWC(+2.88%) BAM(+5.29%) และ VGI(+6.34%) เป็นต้น

สัญญาณผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุดตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claim) ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 4.4 ล้านคน ทำให้ตัวเลขสะสมเพิ่มขึ้นสูงกว่า 26 ล้านคน คิดเป็น 18.3% ของกำลังแรงงานรวม ซึ่งถือเป็นอัตราการว่างงานที่สูงกว่าช่วงเกิด Hamburger Crisis ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทยก็มีแนวโน้มที่ไม่แตกต่างกัน โดยเห็นการปิดตัวของผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรม และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างยานยนต์ ซึ่งได้มีการปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ลงมาเหลือ 1-1.4 ล้านคัน จากเป้าหมายเดิม 2 ล้านคันในปี 2563 คาดว่าจะทำให้เห็นการเลิกจ้างแรงงานเพิ่ม ส่วนในสัปดาห์หน้ามีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม โดยในต่างประเทศจะมีการประกาศ GDP งวด 1Q63 ที่คาดว่าจะเห็นการชะลอตัวชัดเจนในหลายประเทศ พร้อมการประชุมธนาคารกลางที่สำคัญอย่าง Fed, BOJ และ ECB ส่วนในประเทศจะมีการพิจารณาเรื่อง การต่อหรือไม่ต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ รวมถึงการกำหนดขอบเขตการเปิดให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม ด้วยปัจจัยสำคัญที่ต้องรอติดตามในสัปดาห์หน้ามีหลายเรื่อง ทำให้คาดว่า SET Index ในวันนี้น่าจะผันผวน และมีโอกาสปรับลดลงมาต่ำกว่า 1264 จุด ซึ่งเป็นดัชนีเป้าหมายปี 2563 ที่กำหนดบนคาดการณ์ EPS ของตลาดปี 2563 ที 72.62 บาท/หุ้น และให้ Market Earning Yield Gap ที่ 5% จะให้ค่า PER เป้าหมายที่ 17.4 เท่า สำหรับพอร์ตการลงทุนวันนี้ แนะนำให้ปรับโดย ขายทำกำไร DIF ซึ่งมีน้ำหนัก 25% ในพอร์ตการลงทุน และนำเงินสลับเข้าลงทุนใน BTSGIF ด้วยน้ำหนักเท่ากัน เหตุเพราะเห็นว่าราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนลดจาก NAV ซึ่งอยู่ที่ 10.2213 บาท/หุ้น ถึง 26.13% อีกทั้งมีโอกาสได้ประแสเชิงบวกจากสถานการณ์การระบาด Covid-19 ในประเทศที่เบาบางลง ทำให้จำนวนผู้โดยสารเริ่มเพิ่มขึ้น ส่วนหุ้น Top Picks ยังเลือก EA และ STA

ตัวเลขว่างงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นเร็ว ! สัปดาห์หน้าติดตามประชุมธนาคารกลาง และ GDP 1Q63 ทั่วโลก

ผลกระทบ COVI-19 กระทบเศรษฐกิจโลกชัดเจน สะท้อนจากรายงานดัชนีชีน้ำนเศรษฐกิจทั่วโลกเมื่อวานนี้ ดัชนีชี้นำฝั่งแรงงาน คือ สหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสหรัฐ (Initial Jobless Claims) สัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้น 4.43 ล้านราย ถือเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันราว 5 สัปดาห์ โดยรวมทำให้มียอดผู้ขอสวัสดิการสะสมอยู่ที่ 26.45 ล้านราย หรือคิดอัตราการว่างงานราว 18.3% ซึ่งสูงกว่าช่วงวิกฤติ Hamburger Crisis อัตราการว่างงานอยู่ที่ 10% ดัชนีชี้นำภาคการผลิตและบริการ คือ รายงานดัชนี PMI ทั้งภาคการผลิต และภาคบริการของทั่วโลกที่มี เช่น สหรัฐ, อังกฤษ, ยุโรป เป็นต้น ลดลงแรงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และต่ำกว่าที่ตลาดคาด (ดังตาราง)

               สัปดาห์หน้าให้น้ำหนักการประชุมธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก ได้แก่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) วันที่ 27 เม.ย. 2563, ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) วันที่ 29-30 เม.ย. 2563 และธนาคารกลางยุโรป (ECB) วันที่ 30 เม.ย. 2563 ตลาดคาดธนาคารกลางต่างๆน่าจะคงอัตรานโยบายไว้ ภายหลังจากที่ปรับลงมาแล้วในช่วงที่ผ่านมา )

และให้น้ำหนักการรายงาน GDP Growth งวด 1Q63 ของแต่ละประเทศ เช่น สหรัฐ (ตลาดคาดหดตัว 4.1%qoq จากขยายตัว 2.1%qoq ใน 4Q62) และยุโรป (ตลาดคาดหดตัว -4.2%qoq จาก 4Q62 ที่ขยายตัว 0.1%qoq) เช่น อิตาลี (ตลาดคาดหดตัว -0.3%qoq ต่อเนื่องจาก 4Q62 ที่หดตัว -0.3%qoq), ฝรั่งเศส (ตลาดคาดหดตัว -0.1%qoq ต่อเนื่องจาก 4Q62 ที่หดตัว -0.1%qoq) เป็นต้น

ASPS เชื่อว่าจะออกมาสอดคล้องกับประมาณของ IMF คือ จะพลิกกลับมาหดตัวเกือบทุกประเทศในปี 2563 (ดูเพิ่มใน Market Talk ฉบับวันที่ 15 เม.ย. 2563) ขณะที่ไทยสภาพัฒน์จะรายงาน GDP วันที่ 18 พ.ค.

ราคาน้ำมันดีดขึ้นแรง 3 วันติด แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก ไม่ถือเป็นโอกาสเก็งกำไร หุ้นน้ำมัน

ราคาน้ำมันดิบโลกยังแกว่งตัวผันผวนตลอดสัปดาห์ ทั้งราคาน้ำมันดิบ WTI, Brent และ Dubai ลงต่ำกว่าระดับ 20 เหรียญ และทำจุดต่ำสุดในรอบ 20 ปี เมื่อวันที่ 20 เม.ย. จากเหตุผล Demand น้ำมันที่ชะลอลงแรงจากผล Covid-19 หลังจากนั้นราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อ 3 วันจนถึง ล่าสุด เฉลี่ยๆวันละ 1-3 เหรียญฯ ต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นราว 20%DoD จากหนุนระยะสั้นประเด็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-อิหร่าน

อย่างไรก็ตาม ASPS ให้น้ำหนักปัจจัยพื้นฐานของน้ำมันดิบ คือฝั่ง Demand น้ำมัน ที่ชะลอลงจากผลกระทบ COVID-19 ( IEA คาด Demand น้ำมันดิบโลก เดือน เม.ย. จะหายไป 30 ล้านบาร์เรล/วัน จากการ Lockdown ประเทศทั่วโลก ระยะเวลาในช่วง เดือน มิ.ย.- พ.ค.   ขณะที่ฝั่ง Supply แม้ที่ประชุม OPEC+ มีมติตัดลดกำลังการผลิต ซึ่งจะมีผลในเดือน พ.ค. ลงราว 10 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งไม่เพียงพอ โดย ASPS ให้น้ำหนักการประชุม OPEC+ รอบพิเศษวันที่ 10 พ.ค.

โดยรวมราคาน้ำมันดิบ Dubai แม้จะดีดขึ้นมาแรงในสัปดานี้ ล่าสุด ปิดอยู่ที่ 26.4 เหรียญฯ แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับต้นปี ซื้อ-ขาย บริเวณ 61-62 เหรียญฯ (เฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 46.5 เหรียญฯ ASPS คาดสมมติฐานปี 2563 ที่ 40 เหรียญฯต่อบาร์เรล)   และหาก COVID-19 สถานการณ์ยังไม่ดี ทำให้กิจกรรมเศณษบกิจ การเดินทางยังไม่ฟื้น คาดน้ำมันดิบจะทรงตัวในระดับต่ำ และทำให้ราคน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีอาจต่ำกว่าสมมติฐานได้

โดย ASPS ทำการศึกษาหากมีการปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบลดลงต่ำกว่าสมมติฐานทุก 5 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในระยะยาว จะกระทบมูลค่าพื้นฐาน PTTEP และ PTT ราว 10-12 และ 2-3 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ

สัปดาห์หน้าให้น้ำหนักข้อสรุปผ่อนคลายเมือง ล่าสุด สายการบิน จะกลับมาบินอีกครั้ง !

ต้นสัปดาห์หน้าในประเทศ ASPS ให้น้ำหนักการประชุมของรัฐบาล 2 ประเด็นสำคัญคือ

  1. พิจารณาต่อว่า อายุ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ หรือไม่ ASPS ความคาดมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการต่อ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ออกไปอีกอย่างน้อย 1 เดือน
  2. การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด รวมถึงการเปิดธุรกิจ   จากท่าทีของรัฐบาล ASPS เชื่อว่ารัฐบาลจะมการเปิดดำเนินธุรกิจ บางส่วน และเปิดอย่างระมัดระวัง และเปิดให้บางจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดที่ควบคุม COVID-19 ได้ดี

ทั้งนี้ดูจากสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ของไทย ล่าสุด พบผู้ติดเชื้อใหม่ 13 ราย ประกอบกับจำนวนผู้รักษาหายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงขึ้นต่อเนื่อง

นอกจากนั้นยังเห็นบางธุรกิจส่งสัญญาณจะกลับมาดำเนินงาน คือ   กลุ่มการบิน วันนี้คาดว่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวก ภายหลังมีสายการบิน 2 แห่ง คือ ไทยแอร์ เอเชีย (AAV ถือหุ้น 55%) และ สายการบินไทย ไลออนแอร์ ผ่านการหารือกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) สำหรับกำหนดการกลับมาเปิดบริการเส้นทางในประเทศอีกครั้งนับจากวันที่ 1 พ.ค. 63 นับเป็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นกว่าช่วง เม.ย. 63 ที่จำเป็นต้องหยุดให้บริการชั่วคราวทุกเส้นทางบิน อย่างไรก็ตาม ผลบวกที่คาดหวังได้ ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักไปที่เรื่องกระแสเงินสดที่จะเข้ามาช่วยหล่อเลี้ยงบริษัท และทั้งนี้ หากพิจารณาการที่ กพท. กำหนดให้ปฏิบัติตามาตรการควบคุมโรคเคร่งครัด อาทิ การเว้นที่นั่ง (จะขายตั๋วราว 70% ของที่นั่งจริง) และการงดบริการอาหารและเครื่องดื่ม จึงอาจจะคาดหวังรายได้ระดับราว 50%-60% ของเที่ยวบินปกติ ซึ่งแม้จะมีตัวช่วยเรื่องต้นทุนเชื้อเพลิงระยะสั้น ที่จะลดลงตามราคาน้ำมันโลก แต่ AAV ยังคาดหวังผลบวกในปีนี้จำกัด จากสถานะปัจจุบันที่มีการทำสัญญาล่วงหน้าไปแล้วราว 70% ของปริมาณใช้ ส่วน AOT ก็น่าจะได้ประโยชน์จำกัดเช่นกัน เนื่องจากโครงสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมในประเทศที่ต่ำกว่าต่างประเทศ ซึ่งยังไม่มีกำหนดเปิดอย่างมีนัยฯ และถูกซ้ำเติมจากผลกระทบมาตรการให้ความช่วยเหลือค่าธรรมเนียมสายการบินที่ออกมาเพิ่มเติมวานนี้ ในด้านผลประกอบการกลุ่ม จึงอาจจะคาดหวัง Upside ได้ยาก สวนทางราคาหุ้นในกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นรับความคาดหวังเชิงบวกจนเกินมูลค่าพื้นฐานแล้วทุกบริษัท จึงให้ลงทุน น้อยกว่าตลาด และไม่มีตัวเลือกลงทุน

SET เริ่มติด เตรียมรับมือด้วยหุ้น Defensive ราคา Laggard ชอบ BTSGIF EA

การเดินทางของ SET Index ที่ต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดช่วงกลางเดือน มี.ค. 63 จนถึงปัจจุบันกว่า 303 จุด 31% แต่จากนี้ฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่า SET Index มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงในระยะสั้น เนื่องจาก SET Index เตรียมทดสอบแนวต้านสำคัญทั้งใน

มุมมองทางปัจจัยพื้นฐาน และเทคนิค ดังนี้

มุมมองทางปัจจัยพื้นฐาน หากพิจารณาจาก Valuation ทางพื้นฐาน ซึ่งกำหนดบนคาดการณ์ EPS ของตลาดปี 2563 ที 72.62 บาท/หุ้น และให้ Market Earning Yield Gap ที่ 5% จะให้ค่า PER เป้าหมายที่ 17.4 เท่า คิดเป็น SET Index เป้าหมายที่ 1264 จุด เท่ากับว่าที่ระดับ SET Index ปัจจุบันไม่เหลือ Upside ทางพื้นฐานแล้ว

มุมมองทางปัจจัยเทคนิค ยังมีจุดเตือนที่จะเป็นแนวต้านในระยะสั้นอยู่ เริ่มจากแนวต้านบริเวณ 1265+/- จุด คือ ระดับ 50% ของ Fibonacci Retracement นับตั้งแต่การปรับฐานช่วงเริ่มมีประเด็น COVID-19 รวมถึงแนวต้านทางจิตวิทยาที่ 1300 จุด

รวมถึงยังต้องเตรียมรับมือกับตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี ซึ่งเป็นความเสี่ยง ที่อาจเกิด Downside ทำให้ต้องปรับลดประมาณการ ทำให้ระดับดัชนีเป้าหมายปรับลดลงอีก รวมถึงยังต้องรอติดตามพัฒนาการการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจว่าจะมากอย่างที่คาดหรือไม่

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนเตรียมความพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาด โดยการเลือกลงทุนหุ้น Defensive ราคา Laggard อย่าง BTSGIF EA ซึ่งราคาหุ้นทั้ง 2 ยัง Laggard กว่ากลุ่ม และตลาดอยู่มาก ตามภาพทางด้านล่าง

ผลตอบแทนสะสมย้อนหลัง 1 ปี ของหุ้นราคา Laggard อย่าง BTSGIF EA

ขณะที่หากพิจารณาจาก Valuation มีความโดดเด่นทั้ง 2 บริษัท คือ

BTSGIF เป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ผันผวนต่ำ มีความโดดเด่นทางพื้นฐานจาก ราคาหุ้น ณ ปัจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอยู่มากถึง 27% (Discount Book Value) พร้อมกับคาดหวังปันผลได้สูงถึง 8.8% ต่อปี (ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์)

EA ทิศทางกำไรปกติ 1Q63 คาดเติบโตเล็กน้อยจาก 4Q62 หนุนหลักจากโรงไฟฟ้าโซลาร์ที่จะผลิตไฟได้มากขึ้น เพราะเข้าสู่ช่วง high season และได้รับผลบวกจากภัยแล้งซึ่งคาดจะทำให้ความเข้มแสงมากกว่าปกติ ส่วนภาพทั้งปี 2563 คาดกำไรปกติเติบโต 8.9%yoy มาอยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท ทำ New High อีกครั้ง จากการรับรู้โรงไฟฟ้าลมหนุมาน 260 MWe เต็มที่ทั้งปี อีกทั้งเป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ราคา Laggard กลุ่มฯ ถือเป็นโอกาสลงทุน

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ภราดร เตียรณปราโมทย์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506

ภวัต ภัทราพงศ์

ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!