- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 24 April 2020 12:03
- Hits: 2466
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 24-4-2020
“น้ำมันฟื้นตัวต่อ แต่ยารักษา Remdesivir ใช้ไม่ได้ผล”
- • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้รีบาวด์ต่อ จากน้ำมันฟื้นตัว สหรัฐผ่านร่างเยียวยา ปิด +10.72 จุด ที่ 1272.53 จุด มูลค่าซื้อขาย 69 พันลบ.ตลาดปรับขึ้นเล็กน้อยคล้ายเพื่อนบ้าน มีแรงซื้อกลับหุ้นพลังงานหลังราคาน้ำมันฟื้นตัว และกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่ขาย AOT หลังมีมาตรการช่วยเหลือคู่ค้าที่สนามบินเพิ่มเติม ทำให้นักวิเคราะห์มีโอกาสปรับกำไรลงอีก ขายสุทธิสูง-ต่างประเทศ ซื้อสุทธิมาก-สถาบัน ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติขายเป็น 156 พันลบ.แล้ว
# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET ช่วงสั้นมีโอกาสผันผวนสูง น้ำมันฟื้นตัว แต่ยาต้านไวรัสไม่ได้ผล ปัจจัยบวกคือ น้ำมันฟื้นตัวจากความตึงเครียดอ่าวเปอร์เซียและสหรับลดการผลิตลง คาดสภาผู้แทนฯ สหรัฐจะผ่านมาตรการเยียวยา 4.84 แสนล้านดอลลาร์ ดาวโจนส์บวกเล็กน้อย 39 จุด เช้านี้น้ำมันล่วงหน้าบวกต่อ ด้านไทยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่น้อยลงทำสถิติเหลือแค่ 13 ราย และรัฐบาลออกมาตรการลดค่าไฟให้ผู้ประกอบการ สำหรับปัจจัยลบคือ ยาต้านไวรัส Remdesivir ใช้ไม่ได้ผลในการทดสอบที่จีน พากันผิดหวัง ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐไม่สดใสคือ จำนวนยื่นขอสวัสดิการครั้งแรกออกมามาก แต่และยอดขายบ้านใหม่มี.ค.ปรับลด ยังเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยทองคำ ราคาปรับขึ้นดี ธุรกิจยานยนต์ไทยซบเซาทั้งขายในประเทศและส่งออก ปรับเป้าผลิตปีนี้เหลือ 50% หรือ 1 ล้านคัน เช้านี้ตลาดเพื่อนบ้าน Mix และดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับลดลงอีก กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบ
คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1240-1285 จุด ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว คือ ทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดีที่แนะนำซื้อ Defensive- ADVANC,CHG ปันผลสูง-KKP,TISCO,AP,LH เติบโต-ฟื้นตัว- MTC, STEC, VGI,DELTA กลุ่มพาณิชย์เด่นจากนโยบายรัฐแจก 5 พันบาท- CPALL,BJC,HMPRO บาทอ่อน-ส่งออกดี- CPF ขนส่ง- หุ้นปรับลงมากไป BEM,BTS หากห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดได้ 1 พ.ค.63 จะดีกับศูนย์การค้าเช่น CPN, CPNREIT และพาณิชย์ COM7,HMPRO สื่อสาร เช่น ADVANC ติดตามกลุ่มเดินทาง-ท่องเที่ยวจะกลับมาหลังคลายล็อกดาวน์เพราะจะมีผลกับหุ้นสายการบิน และโรงแรม สัปดาห์หน้าปล่อยกู้ซอฟท์โลนให้โรงแรม-สายการบินช่วยทำให้รอด ระวัง AOT มีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มแนวรับคือ 1230 หรือ 1200 และแนวต้าน 1280-1300 จุดตัดขาดทุนต่ำกว่า 1260 จุด
# Stock Pick Today : PTT เก็งกำไรน้ำมันฟื้นตัว นำ OR เข้าตลาดฯ จะมี Pre-emtive right ให้ผู้ถือหุ้นเดิม PTT ด้วย แม้คาดกำไรสุทธิ 1Q63F จะถูกกระทบจากอุปสงค์และราคาน้ำมันที่ลดลง โดยกำไรสุทธิของ PTTEP อ่อนแอลง ธุรกิจโรงกลั่นขาดทุนจากสต็อกจำนวนมาก, ค่าการกลั่นลดลง แต่ราคาหุ้นปรับลงมากไปจ่ายปันผลได้อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ คาดว่าอัตราผลตอบแทนปีนี้เป็น 3% กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 37.00 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: สั้น...ภาพยังบวกเล็กๆ อาจมีรีบาวด์สั้นๆได้ ส่วนระยะกลางยังเป็นโครงสร้างขาลงกดดัน ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick &Indicators ให้ภาพบวกเล็กๆต่อ {“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน” (โดยมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบมีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1280 (หรือ 1290 – 1300) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1260” (แนวรับย่อย “1230 / 1200”) จุด}
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : ธนาคารพาณิชย์
Company Guide : MEGA (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 32.00)
Flash Note : กลุ่ม REITs และ IFFs
KKP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 59.00)
In The News : กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน-มุมมองระยะสั้นเป็นลบ
ข่าวเด่นวันนี้
Turnover List Watch : คาดสัปดาห์นี้ไม่มีหลักทรัพย์ติด Cash Balance ติดตาม DW
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ น้ำมัน : WTI ปิดพุ่ง $2.72 เหตุอ่าวเปอร์เซียตึงเครียด,คาดสหรัฐเดินหน้าลดผลิตน้ำมัน
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 20% เมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากความตึงเครียดในอ่าวเปอร์เซีย หลังจากอิหร่านขู่ว่าจะทำลายเรือรบสหรัฐหากเป็นภัยคุกคามความมั่นคง นอกจากนี้สัญญาน้ำมันดิบยังพุ่งขึ้นขานรับการคาดการณ์ที่ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐจะปรับตัวลดลงอีก ท่ามกลางการทรุดตัวของราคาน้ำมัน
-ยาต้านไวรัส remdesivir ไม่สามารถเร่งอัตราการฟื้นตัวของผู้ป่วยโรคโควิด-19
# องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ผลการใช้ยา remdesivir ซึ่งเป็นยาแอนตี้ไวรัสของบริษัท Gilead Sciences ในการทดสอบทางคลินิกที่จีน พบว่า ยาดังกล่าวไม่สามารถเร่งอัตราการฟื้นตัวของผู้ป่วยโรคโควิด-19 รวมทั้งไม่สามารถป้องกันผู้ป่วยจากการเสียชีวิต
+ สหรัฐ: คาดหวังสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติการเยียวยาวงเงิน 4.84 แสนล้านดอลลาร์
# นักลงทุนคาดหวังว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะให้การอนุมัติมาตรการเยียวยาวงเงิน 4.84 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งสนับสนุนให้เพิ่มการตรวจหาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ผ่านร่างมาตรการฉบับนี้ไปแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
-สหรัฐ: จำนวนยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 4.4 ล้านราย
# กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 4.4 ล้านราย ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.3 ล้านราย โดยการพุ่งขึ้นของตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานมีสาเหตุจากการที่ภาคธุรกิจได้พากันปิดกิจการ จากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้มีการปลดพนักงานจำนวนมาก
-สหรัฐ: ยอดขายบ้านใหม่ดิ่งลง 15.4% ในเดือนมี.ค.
# ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ดิ่งลง 15.4% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2556 สู่ระดับ 627,000 ยูนิต และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 645,000 ยูนิตหลังจากแตะระดับ 741,000 ยูนิตในเดือนก.พ.
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ: : ดาวโจนส์ +39.44 จุด ตลาดถูกกดดันจากข่าวยา remdesivir ไม่มีประสิทธิภาพรักษาโควิด # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมทั้งความหวังที่ว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะผ่านมาตรการเยียวยาธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ เนื่องจากตลาดถูกกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า ยา remdesivir ของบริษัท Gilead Sciences ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด-19
- • ทองคำ: ปิดบวก $7.1 นักลงทุนรุกซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหลังสหรัฐเผยข้อมูลศก.ซบเซา
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งรวมถึงตัวเลขชาวอเมริกันที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานที่พุ่งขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
- • สหรัฐ: ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ ศบค.เผยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 13 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย
# (ศบค.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 13 คนทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสมรวมทั้งสิ้น 2,839 คน จำนวนผู้ที่หายป่วยแล้วรวมทั้งสิ้น 2,430 คน กลับบ้านเพิ่มขึ้นอีก 78 คนเสียชีวิตเพิ่ม 1 คน รวมยอดผู้เสียชีวิตสะสม 50 คน (Aspen)
# ผลกระทบ: เป็นบวก ถือว่าลดลงจากวันก่อนหน้าที่ 15 ราย ถือว่าลดลงต่อเนื่อง และเป็นยอดต่ำสุดใหม่ (new low) มีโอกาสผ่อนคลาย lock down มากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับ SET และหลักทรัพย์กลุ่มที่กลับมาเปิดให้บริการ เช่น ศูนย์การค้าพาณิชย์ สนามบิน และสายการบิน เป็นต้น
+ รัฐบาลเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าภาคเอกชน
# รัฐบาลเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการภาคเอกชน โดยยกเว้นเก็บอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำถึงสิ้นปี 63 และคืนเงินประกันใช้ไฟฟ้า
-ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค.63 อยู่ที่ระดับ 88.0 ต่ำสุดในรอบ 28 เดือน
# สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค.63 อยู่ที่ระดับ 88.0 ลดลงจากระดับ 90.2 ในเดือนก.พ.63 โดยดัชนีฯ ต่ำสุดในรอบ 28 เดือน นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.60 ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 96.0 ลดลงจาก 98.1 ในเดือน ก.พ.63 โดยดัชนีฯ ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือนก.ค.62
-ยานยนต์: ยอดส่งออกรถยนต์เดือน มี.ค.63 ซบเซาลดลงถึง 23.71% y-o-y
# ส.อ.ท.เผยยอดส่งออกรถยนต์เดือน มี.ค.63 อยู่ที่ 89,795 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 23.71% โดยยอดส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย โอเชียเนีย ทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลง รวมถึงผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-1 ส่วนมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 49,112 ล้านบาทลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 17.85%
-ยานยนต์: หากโควิด-19 ยึดเยื้อ อาจปรับเป้ายอดผลิตรถยนต์ปีนี้ลงถึง 50% เป็น 1 ล้านคัน
# ส.อ.ท.ระบุหากสถานการณ์โควิด-19 ยืดเยื้อออกไปถึงเดือน ก.ย.63 อาจกระทบต่อเป้ายอดผลิตรถยนต์ ยอดส่งออกรถยนต์ และยอดขายรถยนต์ในประเทศของปีนี้ลดลงถึง 50% จากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะผลิตรถยนต์ได้ 2 ล้านคันเหลือ 1 ล้านคัน ยอดส่งออกลดลงจาก 1 ล้านคัน เหลือ 5-7 แสนคัน ส่วนยอดขายในประเทศลดลงจาก 1 ล้านคัน เหลือ 5แสนคัน
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web