- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 23 April 2020 15:11
- Hits: 1589
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 23-4-2020
Market Outlook
- • วันนี้คาด SET Index รีบาวด์ต่อ หลังตลาดตอบสนองเชิงบวกต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของสหรัฐฯ ที่ผ่านร่าง กม.จากสภาสูงแล้ว บวกกับประเด็นราคาน้ำมันเริ่มเห็นการจำกัด Downside หลังตลาดคาดเห็นสัญญาณหนุนด้านอุปทานช่วงเดือน พ.ค. ขณะที่ปัจจัยในประเทศหนุนด้วยประเด็นการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ได้ดีต่อเนื่อง นำปสู่แผนผ่อนคลาย Lock down เพื่อเตรียมทยอยเปิดเศรษฐกิจ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1,255-1,280 จุด
- • Market Factor
- • (+) สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ส่งมอบเดือน มิ.ย. วานนี้ปรับขึ้น 19.1%DoD และ 5.4%DoD ตามลำดับ หลังสหรัฐฯ ขู่ว่าจะยิงเรืออิหร่านหลังเรือรบ 11 ลำของอิหร่านแล่นเข้าใกล้กองทัพเรือของสหรัฐฯ ในอ่าวเปอร์เซีย แต่อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันยังมีความเสี่ยงหลัง EIA รายงานคลังเก็บน้ำมันดิบที่ Cushing รัฐโอคลาโฮมามีน้ำมันสะสมที่ระดับ 65 ล้านบาร์เรลจากความจุที่ระดับ 76 ล้านบาร์เรล หากสต็อกน้ำมันดิบยังเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16.25 บาร์เรลต่อสัปดาห์ การเก็บน้ำมันดิบไว้ที่ Cushing ทั้งหมดก็จะเต็มในสัปดาห์หน้าทำให้เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาด
- • (-) EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับ 15.0 ล้านบาร์เรลซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าปกติและเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 13 สัปดาห์ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุปทานล้นตลาด
- • (+) ตลาดคาดหวังสภาล่างโหวตผ่านมาตรการช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและโรงพยาบาลเพื่อสนับสนุนการตรวจเชื้อไวรัส COVID-19 ในวงเงิน 4.84 แสนล้านดอลลาร์ หลังโหวดผ่านสภาบนไปแล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
- • (watch) ติดตามตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ ตลาดคาดอยู่ที่ระดับ 4.2 ล้านคนซึ่งยังคงอยู่ในระดับมากกว่าปกติที่ระดับ 2-3 แสนคนจากผลกระทบของการปิดธุรกิจจำนวนมากเพื่อไม่ให้เชื้อไวรัส COVID-19 ระบาด
- • (+) รองนายกฯ สมคิด เตรียมมาตรการดูแลและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจต่อเนื่อง วงเงิน 4 แสนล้านบาท โดยได้สั่งการผ่านกระทรวงการคลัง ธกส. หารือร่วมกับภาคเอกชน และท้องถิ่น จัดทำโครงการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจชุมชน คาดเห็นผลลัพธ์ช่วงเดือน มิ.ย.นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
- • (-) ทอท.รายงานประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในช่วงงบปี 63 (ต.ค.62 – ก.ย.63) รับปัจจัยการแพร่ระบาดของ COVID-19 คาดมีเที่ยวบินประมาณ 493,800 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารประมาณ 66.58 ล้านคน มีหดตัว 44.9%YoY และ 53.1%YoY ตามลำดับ (โพสต์ทูเดย์)
- • (-) ตลท.เผย ภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มธนาคารฯ 10 แห่ง ในช่วง 1Q63 มีกำไรรวม 44,100 ลบ. ลดลง 18%YoY ส่วนใหญ่มาจากธนาคารขนาดใหญ่ที่มีกำไรลดลง หลังต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS9 และผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงผลกระทบบางส่วนจากสถานการณ์ COVID-19 (เดลินิวส์)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 22 เม.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,826 ราย เสียชีวิต 49 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 0.87% (-3.3%DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.23% (-2.4% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.61% (+6.4% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 75.6 บ. หรือลดลง 25.8%YTD
- • Update Flow เมื่อวานที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 2,755.84 ลบ.ส่งผล MTD. ขายสุทธิอยู่ที่ 37,958.97 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 49.74 ลบ.MTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 17,572.97 ลบ.
Investment Strategy
- • สัปดาห์นี้เราประเมิน SET รีบาวด์ต่อเนื่อง หลัง Sentiment ทั้งใน และตปท. ได้ปัจจัยหนุน ดังนี้ 1) สถานการณ์ COVID-19 เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งในสหรัฐฯ ประเทศในยูโรโซนเริ่มเพิ่มในอัตราชะลอตัวลง รวมถึงไทยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทรงตัวในระดับต่ำ 2) การเดินหน้ามาตรการกระตุ้น และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากบรรดาธนาคารกลาง และรัฐบาลจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก 3) การเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังผ่านระยะคุมเข้ม Lockdown ก่อนหน้า 4) ปัจจัยในประเทศ มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับตามแผนการดูแลผู้ได้รับผลกระทบฯ และเสริมสภาพคล่องทั้งตลาดสารหนี้และทุน อย่างไรก็ดี ติดตามการรายงานผลประกอบการบริษัทฯ เริ่มด้วยกลุ่มธนาคารที่คาดออกมาอ่อนตัวเป็นปัจจัยกดดันการรรีบาวด์สัปดาห์นี้ เรามองกรอบการเทรดในสัปดาห์นี้ที่ 1,220-1,320 จุด แนะเลือกเก็งกำไรช่วงสั้นตาม Sentiment ตลาด พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 2 กลุ่ม ดังนี้
- • หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upsideจากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2 ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11 บ/หุ้น (Yield1.5%)
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC สองหุ้นค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือประชาชนของภาครัฐ และการเตรียมผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษกิจกลับมาเริ่มเปิดตามปกติได้ในระยะถัดไป จะทำให้การบริโภคเริ่มฟื้นตัว CPALL มีสาขาครอบคลุมผู้บริโภคทั่วประเทศจะได้ประโยชน์ทั้งจากร้าน7-11 และ MAKRO ขณะที่ BJC จะได้ประโยชน์จากBIGC และยอดขายของธุรกิจ Health care มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคต่อการระบาดของCOVID-19 ที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อโรคเข้ามาเป็นอีกปัจจัยในการดำรงชีวิตจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้อย่างเป็นทางการ รวมถึงธุรกิจ บรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
- • กลุ่มส่งออกไก่ : เก็งกำไร CPF TFG GFPT หนุนด้วย 1) ก.พาณิชย์รายงานยอดส่งออกไก่สด และแปรรูปเดือน มี.ค.63 และช่วง 1Q63 ที่ 320 และ 882 ล้านเหรียญฯ +7.5%YoY และ +7.2%YoY ตามลำดับ และมีโอกาสโตต่อใน 2Q63 โดยได้รับ อานิสงส์จากความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องของจีน และญี่ปุ่น รวมถึงความได้เปรียบด้านแจ่งขันหลังคู่แข่งสำคัญบราซิลเผชิญปัญหาCOVID19 กระทบการส่งออก 2)ค่าเงินบาทช่วง1Q63 อ่อนค่า 4%YoY และ8%YTD 3)ราคาขายไก่เฉลี่ยช่วง 1Q63 อยู่ที่ 34.5 บ/กก.ยังสูงกว่าราคาเฉลี่ยปี 62 ที่ 33.7 บ/กก. และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักเช่นข้าวโพด และกากถั่วเหลืองยังทรงตัวในระดับต่ำ เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ
22-Apr-20 Change (pts.) 21-Apr-20
SET Index 1,261.81 8.89 1,252.92
SET50 Index 848.81 6.16 842.65
SET100 Index 1,856.46 13.39 1,843.07
High 1,262.43 Gainers 696
Low 1,231.58 Unchanged 329
Value (Bt m) 76,817.44 Losers 641
Volume (*000) 14,857,128
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 16.7 14.0 14.0
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -16.2
EV/EBITDA (x) 10.7 9.6 9.0
FWD PBV (x) 1.4 1.3 1.3
Dividend Yield (%) 3.3 3.7 4.1
ROE 7.5 8.2 8.6
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 22-Apr-20 WTD MTD YTD
Institution 49.74 6,930.79 17,572.96 43,646.37
Proprietary 1,063.56 1,699.90 4,468.30 (2,881.72)
Foreign (2,755.84) (10,688.35) (37,958.97) (153,313.88)
Individual 1,642.54 2,057.65 15,917.71 112,549.23
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web