WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 22-4-2020May

Kasikornbank (KBANK TB) แนวโน้มยังท้าทาย Covid-19 กระทบ 20% ของสินเชื่อ ถือ

เรากังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ของ KBANK เนื่องจากสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอยู่ที่ 400 ล้านบาทและคิดเป็น 20% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด (เทียบกับ SCB (ถือ ราคาเป้าหมาย 70 บาท) ที่ 150 ล้านบาทหรือ 7% ของสินเชื่อ และสวนใหญ่เป็นสินเชื่อ SME คงคำแนะนำ ถือราคาเป้าหมาย 100 บาท (P / BV ปี 2563 ที่ 0.56 เท่า และ ROE 8.1%) ในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เราชอบ BBL (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 130 บาท) มากกว่า KBANK เนื่องจากงบดุลแข็งแกร่งกว่าและความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่า

ผลประกอบการไตรมาส 1/63 พลาดเป้าจากต้นทุนสินเชื่อที่สูงขึ้น ขาดทุนจากเงินลงทุนของธุรกิจประกัน

กำไรสุทธิไตรมาส 1/63 ลดลง 34% YoY และ 25% QoQ เป็น 6.6 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่เราคาด เนื่องจากมีขาดทุน 2.9 พันล้านบาทจากการซื้อขายและการลงทุน ผลประกอบการไตรมาส 1/63 คิดเป็น 23% ของประมาณการปี 63 ของเรา สินเชื่อขยายตัว 6.7% YoY และ 2.1% QoQ ในขณะที่ NIM เพิ่มขึ้น 27bp QoQ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนสินเชื่อที่สูงขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (TFRS9) จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและต้นทุนกองทุนที่ลดลงจากค่าธรรมเนียม FIDF ที่ลดลง ส่วน Non-NII ลดลง 40% YoY และ 54% QoQ จากผลขาดทุนจากการซื้อขายและการลงทุน ขณะที่ OPEX เพิ่มขึ้น 9% YoY เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารหนี้ ไอทีและการตลาด อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 49.3% ในไตรมาส 1/63 จาก 42.7% ในไตรมาส 1/62

คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลงจาก NPL ที่สูงขึ้น

NPL เพิ่มขึ้น 8% QoQ เป็น 9.1 หมื่นล้านบาทและอัตราส่วน NPL เพิ่มขึ้นเป็น 4.46% จาก 4.20% ในไตรมาส 4/62 NPL coverage ลดลงเหลือ 130% จาก 149% ในไตรมาส 4/62 KBANK บันทึกเงินตั้งสำรองจำนวน 1.19 หมื่นล้านบาท (ต้นทุนเครดิต 235bp) ในไตรมาส 1/63 การก่อตัวของ NPL เพิ่มขึ้นเป็น 5.0% จากค่าเฉลี่ย 2.0% ในปี 2562 ธนาคารรายงานสินเชื่อระยะที่ 2 ที่ 2.2 แสนล้านบาท (11% ของบัญชีสินเชื่อ) ในไตรมาส 1/63 เทียบกับ 5.6 หมื่นล้านบาท (3% ของบัญชีสินเชื่อ) ในไตรมาส 4/62

คาดเห็นผลกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในไตรมาส 2

เราคาดว่า NII และ NIM จะลดลงในไตรมาส 2/63 เนื่องจากธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 40bp ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน ธนาคารคาดว่าอัตราส่วนเงินกองทุนจะลดลง 1-2ppts โดยอิงจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ GDP -5% ในปีนี้ การมีลูกค้า SME จำนวนมากจะกดดันผลประกอบการและ ROE สำหรับปีนี้และปีหน้า KBANK จะปรับเป้าหมายทางการเงินหลังจากผลประกอบการไตรมาส 2/63 ออกในเดือนกรกฎาคม

Synnex (Thailand) (SYNEX) รอวันที่ฟ้าสดใส

Company Update ประเด็นการลงทุน

เรายังเชื่อว่า SYNEX ที่เป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งสินค้า IT ในไทยจะสามารถเอาตัวรอดผ่านวิกฤตนี้ไปได้ การเจรจากับคู่ค้าจะช่วยลดความกังวลด้านสภาพคล่องลง แม้รายได้และกำไรปีนี้จะเห็นการชะลอตัวระดับสองหลัก และทำจุดต่ำสุดใน 2Q63 จากร้านค้า IT ที่ปิดลง แต่เราเชื่อว่าในช่วงปลายปี อุปสงค์ที่ถูกอั้นไว้จะฟื้นตัวจากการเปลี่ยนอุปกรณ์ 5G จะหนุนกำไรปี 2564 กลับมาขยายตัว +16%YoY เรามองเป็นโอกาสของนักลงทุนระยะยาวเข้าทยอยสะสม เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อเก็งกำไร ราคาเหมาะสม 6.55 บาท อิง P/E’63F = 12 เท่า

มองข้ามผลประกอบการ 2563

ภาพรวม 6 เดือนของปีนี้เป็นช่วงที่ยากลำบาก เราประเมินผลดำเนินงานงวด 1Q63 รายได้รวม 7.5 พันลบ. -20%YoY และกำไรสุทธิ 100 ลบ. -46%YoY ตามอุปสงค์ที่ชะลอลงตั้งแต่ช่วงก่อนปิดเมือง แม้ว่าสินค้าเกี่ยวข้องกับกระแส Work from Home จะเติบโต 4-5 เท่า แต่สินค้ากลุ่ม consumer ที่สัดส่วนราว 1 ใน 3 ของทั้งหมด ถูกกระทบโดยตรง โดยเฉพาะ smartphone การเปิดตัวรุ่น flagship ทั้ง Samsung และ Huawei ในเวลาที่ไม่เป็นใจที่ร้านค้าถูกปิดลง 1 เดือน ทำให้ยอดขายใน 2Q63 ชะลอตัว 10%QoQ เราปรับลดคาดการณ์รายได้และกำไรสุทธิปี 2563 ลง 6/12% เท่ากับ 33,057/462 ลบ. ชะลอจากปีก่อน -5%/-12%YoY ตามลำดับ

เอาตัวรอดในช่วงวิกฤต ก่อนกลับมาเติบโตในปี 2564

บริษัทมีกลยุทธ์บริหารสภาพคล่องผ่านการยืด Credit term ให้กับลูกค้าที่ถูกปิดร้านค้า (40% ของรายได้) และเจรจาเจ้าของสินค้าเพื่อลดผลกระทบอีกด้าน รวมถึงการจัดการคลังสินค้าไม่ให้ล้าสมัย ระหว่างที่รอฝั่งอุปสงค์ฟื้นตัวใน 2H63 ขณะที่ปัญหาด้านอุปทานมีแนวโน้มที่ดีขึ้น สินค้าขาดตลาดบางส่วนใน 10 จาก 60 แบรนด์ในมือเริ่มบรรเทาลงในเดือนเม.ย. หลังโรงงานในจีนที่เป็นแหล่งผลิตสินค้า IT เริ่มกลับมาส่งสินค้าได้ หากผ่านวิกฤตนี้ไปได้ จะรับอานิสงส์อุปสงค์ที่ถูกอั้นไว้และการขายอุปกรณ์ 5G ที่จะเป็น megatrend จะรุกตลาดในไทยจริงจังใน 4Q63-2564 คาดกำไรปี 2564 เท่ากับ 526 ลบ. +16%YoY

ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อเก็งกำไร ราคาเหมาะสม 6.55 บาท

ราคาปัจจุบันอยู่บน P/E ต่ำกว่า 10X เทียบเท่า 3-Yr Average P/E -1.5SD หากเทียบ Payout ratio ในอดีตที่ 65% จะมี Div.yield สูงถึง 7% ซึ่งคาดจ่ายในอัตราที่สูงได้ หากสถานการณ์ไม่ลุกลามไปครึ่งปีหลัง เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อเก็งกำไร แต่ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 6.55 บ./หุ้น อิง P/E 12X ตามค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง ความเสี่ยงคือ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี , การชะลอตัวของภาคการบริโภคในประเทศ , ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB

Bangkok Dusit Medical Services (BDMS TB) ฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง

ลดคาดการณ์กำไรหลัก คงคำแนะนำ ซื้อ

เราลดคาดการณ์กำไรหลักลง 11-28% ในปี 2563-2565สะท้อนจำนวนผู้ป่วยที่ชะลอตัวหลังจากการล็อคดาวน์และได้ราคาเป้าหมายใหม่ 25 บาท/หุ้น (8% WACC และการเติบโตระยะยาว 3%) ราคาหุ้นที่อ่อนตัวเป็นโอกาสซื้อเพื่อลุ้นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในปี 2564 BDMS เป็นหนึ่งในหุ้น Defensive play ในช่วงที่ตลาดผันผวน

คาดกำไรหลักไตรมาส 1/63 ลดลง 15%

เราคาดว่ารายได้จะเติบโตในระดับหลักเดียวในเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์และลดลงสองหลักในเดือนมีนาคม โดยการลดลงในเดือนมีนาคมส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยในตะวันออกกลางซึ่งคิดเป็น 5% ของรายได้ทั้งหมดและการผ่าตัดในเคสที่ไม่รุนแรงของผู้ป่วยชาวไทยเลื่อนออกไป ดังนั้นรายได้น่าจะลดลง 4% YoY ในไตรมาส 1/63 ส่วนแบ่งรายได้ก็น่าจะลดลง 19% YoY สาเหตุหลักมาจากกำไรสุทธิที่ลดลงจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH TB, 117 บาท, HOLD, ราคาเป้าหมาย 135 บาท) ซึ่งเราคาดว่าจะลดลง 20 YoY อัตรากำไร EBITDA คาดว่าจะหดตัว 1.4% ppts YoY เป็น 23.1% โดยรวมแล้ว เราคาดว่ากำไรหลักจะลดลง 15% YoY มาอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท

การดำเนินงานน่าจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63

เราเชื่อว่าผู้ป่วยจะลดลงกว่าเดิมในไตรมาส 2/63 เนื่องจากการล็อคดาวน์ คาดรายได้ผู้ป่วยต่างชาติและผู้ป่วยชาวไทยลดลง 50% YoY และ 10% YoY ตามลำดับในไตรมาส 2/63 ก่อนที่จะทยอยกลับขึ้นสู่ระดับปกติในไตรมาส 4/63 ดังนั้นรายได้โดยรวมน่าจะลดลง 10% YoY ในปี 2563 นอกจากนี้ Movenpick Wellness Resort คาดได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง เราประเมิน Wellness Clinic และ Movenpick Wellness Resort จะส่งผลขาดทุน EBITDA ประมาณ 400-500 ล้านบาท (เทียบกับ ขาดทุน EBITDA 200 ล้านบาทในปี 2562) ในส่วน EBITDA margin ของกลุ่ม คาดลดลงจาก 22% ในปี 2562 เป็น 20% ในปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าผู้บริหารคาดไว้ล่าสุดที่ 21% ดังนั้นเราคาดว่ากำไรหลักจะลดลง 29% ในปี 2563

ซื้อเพื่อลุ้นกำไรเติบโตแข็งแกร่งในปี 2564

เราแนะนำให้นักลงทุนเริ่มทยอยสะสมหุ้นเมื่อราคาอ่อนตัว โดยคาดว่าการดำเนินงานจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยบางรายคาดจะเข้ารับการผ่าตัดที่เลื้อนออกไปใน ครึ่งปีหลัง 63 หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาล็อคดาวน์ เราคาดว่าผู้ป่วยต่างชาติน่าจะเริ่มกลับสู่ระดับปกติในปี 2564 ดังนั้นเราคาดการณ์การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งถึง 49% ในปี 2564 BDMS ซื้อขายที่ P / E ปี 2564 ที่ 31 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ระดับ 40 เท่า

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!