- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 21 April 2020 15:36
- Hits: 1432
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 21-4-2020
“น้ำมัน WTI ติดลบ แต่ไม่ Panic-ติดตามงบแบงค์”
- • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้ทะยาน ผ่อนคลายล็อคดาวน์ ชะลอใช้ TFRS 9 ปิด +27.16 จุด ที่ 1266.40 จุด มูลค่าซื้อขาย 67 พันลบ. ดัชนีอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวันดีกว่าเพื่อนบ้าน นอกจากนี้รับข่าวพรก.กู้เงินประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ทำให้จ่ายเงิน 5,000 บาทได้ครบ 3 เดือน ติดตามครม.ประชุมเรื่องการคลายล็อคดาวน์ และรอดูแบงก์ทยอยประกาศงบ ขายสุทธิสูง-รายย่อย ซื้อสุทธิมาก-สถาบัน ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิเป็น 144.5 พันลบ.แล้ว
# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET ช่วงสั้นอาจมีแรงขายหุ้นพลังงานต้นน้า ติดตามกำไรหุ้นกลุ่มแบงค์ ปัจจัยลบคือ น้ำมัน WTI ติดลบ 38 เหรียญเป็นครั้งแรกเพราะกังวลอุปสงค์น้อยและคลังสหรัฐเกือบเต็ม และวันนี้เป็นวันปิด position วันสุดท้ายแล้ว ฟิวเจอร์มีแรงขายเพื่อไม่รับน้ำมันจริง จึงอาจมีแรงขายหุ้นพลังงานต้นน้ำคือ PTTEP และบ.แม่คือ PTT แต่คาดว่าจะเป็นเพียงระยะสั้น น้ำมัน Brent ยังยืนบวกได้ จึงไม่ควรตื่นตระหนก (Panic) ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐมี.ค.ลดลงดาวโจนส์วานนี้ปรับลงถึง 592 จุด เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ราคาปรับขึ้นดี ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ลบเป็นส่วนใหญ่ ด้านไทยผู้ประกอบการโทรศัทพ์เคลื่อนที่ถูกขอร้องให้ลดค่าโทร 100 นาที มีผลทำให้รายได้ลดลง แต่เกิดครั้งเดียว คาด ADVANC ได้รับผลลบน้อยเทียบกับกำไรที่สูง ส่วนปัจจัยบวกคือ ทำเนียบขาวและสภาคองเกรซฯจะมีสินเชื่อรอบ 2 ให้ SME ส่วนไทยมีผู้ติดเชื้อน้อยลงเป็น 27 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต มีมาตรการลดค่าไฟฟ้า ส่วนสภาพัฒน์ฯจะเสนอมาตรการเยียยาและเปิดเมืองเริ่มจาก 2-3 จังหวัดก่อน เช้านี้ดาวโจนส์และน้ำมันล่วงหน้าเป็นบวก กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบเมื่อดัชนีฯย่อตัว คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1240-1285 จุด ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว คือ เน้นรายตัว หลักทรัพย์พื้นฐานดี ที่แนะนำซื้อ Defensive- ADVANC,CHG ปันผลสูง-KKP,TISCO,AP,LH เติบโต-ฟื้นตัว- MTC,STEC,VGI กลุ่มพาณิชย์เด่นจากนโยบายรัฐแจก 5 พันบาท- CPALL,BJC,HMPRO บาทอ่อน-ส่งออกดี- CPFขนส่ง- หุ้นปรับลงมากไป BEM,BTS หากห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดได้ 1 พ.ค.63 จะดีกับศูนย์การค้า เช่น CPN, CPNREIT,HMPRO และพาณิชย์ เช่นCOM7 สื่อสาร เช่น ADVANC การชะลอนำ IFRS 9 มาใช้ ส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ค้าปลีก โรงแรม และสายการบิน แนวรับคือ 1235 หรือ1220 และแนวต้าน 1285-1300
# Stock Pick Today : HMPRO จะดีขึ้นมากห้างห้างฯกลับมาเปิดได้เร็ว เพราะถูกปิดสาขาที่อยู่ในห้าง ทำให้ 2Q63 มีรายได้ลดลง ส่วนคาดการณ์กำไร1Q63ลดลง 9% y-o-y เป็น 1.3 พันล้านบาท ซึ่งได้รับผลลบจากการปิดห้าง แต่หุ้นถือว่าปรับลงมากไป คาดว่ากำไรหลักเทียบ y-o-y ปีนี้และปี 64 เป็นลดลง 8% ปี 64+25% จึงสรุปได้ว่าปีนี้ได้รับผลลบ แต่หากโรคระบาดจบได้ปีหน้าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี เป็น Blue Chip ตัวหนึ่งในกลุ่มพาณิชย์ ให้ราคาพื้นฐาน 15.60 บาท (DCF)
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: สั้น...ภาพยังบวกเล็กๆ อาจมีรีบาวด์สั้นๆได้ ส่วนระยะกลางยังเป็นโครงสร้างขาลงกดดัน ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick &Indicators ยังให้ภาพบวกเล็กๆ {“ปิดบวกแรง”เหนือ“SMA10วัน” (โดยยังติด“แนวต้านสำคัญ” และมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯสัปดาห์นี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่ “ค่าบวก” (มี“SMA10”หนุน) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1285 – 1300(แนวรับย่อย 1235 – 1200)
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : IVL (ถือ -ราคาพื้นฐาน 24.00)
Flash Note : กลุ่มสื่อสาร : กสทช.เคาะโทรมือถือฟรีทุกเครือข่าย 100 นาที เวลา 45 วัน กดรับสิทธิ 1-15 พ.ค.63
KKP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 59.00)
OSP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 48.00)
SCB (ถือ -ราคาพื้นฐาน 73.00)
TISCO (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 87.00)
TMB (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 1.15)
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/• น้ำมัน : WTI ปิดร่วง $55.90 แตะระดับติดลบเป็นครั้งแรก เหตุวิตกโควิด-19 ฉุดอุปสงค์น้ำมัน
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดทรุดตัวลงสู่ระดับติดลบเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ (20 เม.ย.) ปิดที่ -37.63 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันที่ลดลงจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลก นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่คลังน้ำมันของสหรัฐกำลังกักเก็บน้ำมันใกล้เต็มความจุ ท่ามกลางภาวะน้ำมันล้นตลาด
+ สหรัฐ: ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสใกล้บรรลุข้อตกลงในการปล่อยสินเชื่อรอบที่ 2
# ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสใกล้บรรลุข้อตกลงในการปล่อยสินเชื่อรอบที่ 2 ให้กับธุรกิจรายย่อย อีกทั้งยังบดบังปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลในหลายประเทศเตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยล่าสุดรัฐบาลนิวซีแลนด์ประกาศลดระดับการใช้มาตรการที่เข้มงวดในการล็อกดาวน์ จากระดับ 4 สู่ระดับ 3 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่รัฐบาลเยอรมนีได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เช่นกัน
-สหรัฐ: ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ลดลงสู่ระดับ -4.19 ในเดือนมี.ค.
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก เปิดเผยว่า ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ดิ่งลงสู่ระดับ-4.19 ในเดือนมี.ค. หลังจากแตะระดับ +0.06 ในเดือนก.พ. โดยดัชนี CFNAI เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐจำนวน 85 รายการ ซึ่งดัชนี CFNAI ที่มีค่าเป็นบวกจะบ่งชี้ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่สูงกว่าแนวโน้ม ขณะที่ดัชนี CFNAI ที่มีค่าเป็นลบจะบ่งชี้ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าแนวโน้ม
- ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดร่วง 592.05 จุด วิตกราคาน้ำมันทรุดแตะระดับติดลบ
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (20 เม.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ทรุดตัวลงแตะระดับติดลบเป็นครั้งแรก ซึ่งได้ฉุดราคาหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย โดยปัจจัยดังกล่าวได้บดบังรายงานเชิงบวกที่ว่ารัฐบาลในหลายประเทศเตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งข่าวทำเนียบขาวและสภาคองเกรสใกล้บรรลุข้อตกลงในการปล่อยสินเชื่อรอบที่ 2 ให้กับธุรกิจรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
- • ทองคำ: ปิดบวก $12.4 นักลงทุนรุกซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหลังราคาน้ำมัน-ตลาดหุ้นทรุด
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นมายืนที่เหนือระดับ 1,700 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อคืนนี้ (20 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐและราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงอย่างหนัก ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
- • ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค., ดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนเม.ย.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ ศบค.เผยวานนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 27 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
# โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวานนี้ พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 27 คน ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสมรวมทั้งสิ้น 2,792 คน จำนวนผู้ที่หายปวยแล้วรวมทั้งสิ้น 1,999 คน ยังรักษาตัวอยู่ใน รพ. 746 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม
+ มาตรการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชน ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่ม แต่การลดมีเงื่อนไขตามปริมาณใช้ไฟฟ้า
# รมว.พลังงาน จะเสนอมาตรการลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับภาคครัวเรือนในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.63 ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันนี้ โดยส่วนแรกจะขยายมาตรการใช้ไฟฟ้าฟรีสำหรับครัวเรือนขนาดเล็กที่ติดตั้งมิเตอร์ขนาดไม่เกิน 5 แอมป์ ให้ใช้ไฟฟ้าฟรีเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน จากเดิม 90 หน่วย/เดือน ส่วนครัวเรือนที่ติดตั้งมิเตอร์ขนาดเกินกว่า 5 แอมป์ขึ้นไป จะให้ใช้ไฟฟ้าฟรีในส่วนที่เกินกว่าที่ใช้ในเดือน ก.พ.63 แต่ต้องไม่เกิน 800 หน่วย โดยส่วนที่เกิน 800 หน่วยจะคิดปริมาณลดลง 50% และหากเกินกว่า 3 พันหน่วย จะคิดปริมาณลดลง 30% โดยจะนำหน่วยที่ใช้ไฟฟ้าจากการคิดส่วนลดแล้วมาคำนวณค่าไฟฟ้าตามปกติ
+ สภาพัฒน์: เตรียมเสนอมาตรการดูแลและเยียวยาโควิด-19 เริ่มทดลองปลดล็อค 2-3 จังหวัดก่อน
# สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. หรือ สภาพัฒน์) เตรียมนำข้อเสนอของภาคเอกชนจากการหารือเวทีคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชน เกี่ยวกับมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบ และมาตรการเพื่อการปรับตัวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ใน 5 กลุ่มสำคัญ โดยจะนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณา แบ่งเป็นข้อเสนอให้ดำเนินการในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งจะรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบในเบื้องต้นโดยเฉพาะประเด็นข้อเสนอให้ทดลองปลดล็อค 2-3 จังหวัดในกลุ่มกิจการความเสี่ยงต่ำเพื่อประเมินผลก่อนขยายไปสู่จังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
-WHO: การยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เป็นเพียงการเริ่มต้นของระยะต่อไป
# ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า การยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นของระยะต่อไป
-เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์คาดอัตราว่างงานในภูมิภาคเอเชียจะพุ่งขึ้นกว่า 3%
# สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ เปิดเผยในรายงานวันนี้ว่า อัตราว่างงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มพุ่งขึ้นกว่า 3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยถึง 3 เท่า เนื่องจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการสร้างงาน
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web