- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 14 April 2020 16:01
- Hits: 664
บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 14-4-2020
KrungThai Card (KTC TB)คุณภาพสินทรัพย์น่าห่วงมากขึ้น คงคำแนะนำ ซื้อ ลดราคาเป้าหมายลง
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2563-64 ลง 9-16% เพื่อสะท้อนผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ KTC น่าจะยืนหยัดได้เนื่องจากงบดุลที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำเพียง 3.3 เท่าเทียบกับ debt covenant ที่ 10 เท่า และสำรองหนี้สูญสูงถึง 6.6% ของสินเชื่อ คงคำแนะนำ ซื้อ และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 40 บาทจาก 49 บาท (P/BV ปี 2563 ที่ 4.4 เท่า P/E 17.3 เท่า และ ROE 29.0%) KTC จะขึ้น XD เงินปันผล 0.88 บาท (อัตราเงินปันผล 2.5%) ในวันที่ 16 เม.ย. และประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 ในวันที่ 17 เม.ย.
ไตรมาส 1/63 แกร่ง กังวลเรื่องใช้จ่ายผ่านบัตรและคุณภาพสินทรัพย์
เราคาดว่า KTC จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/63 ที่ 1.65 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% YoY และ 25% QoQ จากการบริหารต้นทุนที่ดีและการตั้งสำรองที่ลดลงภายใต้มาตรฐาน TFRS9 แม้ว่าการดำเนินงานจะแข็งแกร่งใน 2 เดือนแรก แต่คาดว่าการเก็บเงินสดจะยากขึ้นและการใช้จ่ายผ่านบัตรลดลงในเดือนมีนาคมเนื่องจากลูกค้าถือเงินสดมากขึ้นหลังจากมาตรการปิดกรุงเทพฯ ทั้งนี้ คาดว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการชำระหนี้น้อยลง รวมถึงมีการใช้จ่ายที่ลดลงตั้งแต่ไตรมาส 2/63 เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการปิดกรุงเทพฯ บางส่วนในช่วงปลายเดือนมีนาคม
ผลกระทบต่อมาตรการช่วยเหลือของ ธปท.
KTC ได้ลดการชำระคืนขั้นต่ำรายเดือนสำหรับบัตรเครดิตหมุนเวียนและสินเชื่อส่วนบุคคลจาก 10% เป็น 5% สำหรับปีนี้และปีหน้า นอกจากนี้ บริษัทจะเสนอสินเชื่อผ่อนชำระคงที่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงอีก 6 ppts โดยคิด 12% สำหรับบัตรเครดิตและ 22% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสต้องหยุดใช้วงเงินสินเชื่อเดิมและเปลี่ยนเป็นเงินกู้ระยะยาว 48 เดือน เราประเมินว่าลูกค้าทุก 10% ที่เปลี่ยนเป็นเงินกู้ระยะยาวจะส่งผลลบต่อกำไร 3.5% โดยคาดว่าผลกระทบจะกินเวลา 6 เดือนในปีนี้ (ดูรูปที่ 3)
กำไรลดจากสินเชื่อหดตัว NIM ลดลง ขณะต้นทุนสินเชื่อเพิ่มขึ้น
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2563-64 ลง 9-16% จากการเติบโตของสินเชื่อที่ลดลง NIM ที่หดตัวและต้นทุนสินเชื่อที่สูงขึ้น สินเชื่อจะเติบโตในอัตราที่ช้าลง 8-9% เนื่องจากการใช้จ่ายผ่านบัตรที่อ่อนแอและอัตราการอนุมัติสินเชื่อที่ลดลง เราปรับลดคาดการณ์ NIM ลง 39-55bps ในปี 2563-64 หลังจากตั้งสมมติฐานอย่างระมัดระวังว่า 15% ของพอร์ตทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นเงินกู้ระยะยาว นอกจากนี้ เรายังเพิ่มคาดการณ์ต้นทุนเครดิตเป็น 7% จาก 6% ในปี 2563 เนื่องจากคาดการณ์ว่าคุณภาพสินทรัพย์จะแย่ลง
TOA Paint (Thailand) (TOA) Covid-19 ยังส่งผลกระทบไม่มาก Unrated Note
ประเด็นการลงทุน
การแพร่ระบาดของ Covid-19 ในปัจจุบัน ยังส่งผลกระทบต่อ TOA ไม่มากนัก แนวโน้มปี 2563 แม้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มจะติดลบหนัก ตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ผลประกอบการของTOAจะดีกว่าอุตสาหกรรมรวม คาดจะประคองตัวได้ เราประเมิน กำไรเท่ากับ 2,166 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน แรงหนุน TOA มีสินค้าครบ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ สามารถจัดหาโซลูชั่นให้ลูกค้า มีการขายร่วมกับเซอร์วิส รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี แต่ราคาหุ้น TOA ซื้อขาย P/E ปี 2563 สูงถึง 32 เท่า และ มีอัตราเงินปันผลตอบแทนต่ำ 1.5% เทียบกับ ดัชนีกลุ่มวัสดุก่อสร้างจะมีค่าเฉลี่ย Forward P/E 10ปีเท่ากับ 14 เท่า จึงควรรอจังหวะราคาหุ้นลงมาต่ำกว่า 30 บาท ซึ่งเป็นจุดต่ำของราคาเป้าหมายช่วง Consensus ระหว่าง 30-40 บาท
Covid-19 ยังส่งผลกระทบไม่มาก
สถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 ในปัจจุบันยังส่งผลกระทบไม่มากนัก โดยกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบคือ โมเดิร์นเทรด (สัดส่วน 20%) ซึ่งปิดสาขาไปถึง 2 ใน 3 แต่กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ดีลเลอร์ (สัดส่วน 70%) กลับมียอดขายที่เพิ่มขึ้นช่วยชดเชย แม้ไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งสุทธิแล้วจึงกระทบไม่มาก ส่วนลูกค้าโครงการ (สัดส่วน 10%) แม้การเปิดโครงการจะชะลอตัว แต่การที่มีสินค้าที่ไม่ใช่สี (Non-decorative) ซึ่งมีการเติบโตดีเข้ามาช่วย เช่น แผ่นฝ้า แผ่นยิปซั่ม ปูนกาว ทำให้ยอดขายลูกค้าโครงการไม่ลดลงนัก สำหรับตลาดต่างประเทศในภูมิภาคนี้ (สัดส่วน 14%) ถูกกระทบจากการล็อกดาวน์บางส่วนบ้าง ทางชัพพลายวัตถุดิบปัจจุบันยังมีสต็อก และ ไม่มีปัญาในการสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ
แนวโน้มผลประกอบการปี 2563 จะประคองตัว ดีกว่าอุตสาหกรรมรวม
ภาพรวมอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มไม่สดใสนัก คาดจะติดลบประมาณ 10-20% ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่คาดจะจะติดลบถึง 5.5% แต่ยอดขายของ TOA คาดจะประคองตัวได้ แรงหนุน TOA มีสินค้าครบ มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึง สินค้า Premium ขยายไปผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สีทาอาคารมากขึ้น สามารถจัดหาโซลูชั่นให้ลูกค้า มีการขายร่วมกับเซอร์วิส สำหรับลูกค้าโครงการ นำหน้าคู่แข่ง ทำให้ TOA สามารถแย่ง Market share จากคู่แข่ง เติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรม แนวโน้มปี 2563 เราประเมิน ยอดขายจะค่อนข้างทรงตัวที่ 16,554 ล้านบาท ติดลบเล็กน้อย 2.5% และประเมินกำไรเท่ากับ 2,166 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน
เงินสดในมือสูง แต่ราคาหุ้นแพง
TOA มีเงินสดในมือ และ เงินลงทุนระยะสั้นที่สูงถึง 6.8 พันล้านบาท สามารถรองรับภาวะวิกฤตในอนาคต ราคาหุ้นปัจจุบัน ซื้อขายบน Valuation ปี 2563 ที่ค่อนข้างแพง คือ P/E 32 เท่า , EV/EBITDA 20 เท่า, P/BV 6 เท่า และ เงินปันผลตอบแทนเพียง 1.5% เทียบกับ ดัชนีกลุ่มวัสดุก่อสร้างจะมีค่าเฉลี่ย Forward P/E 10ปีเท่ากับ 14 เท่า
Bangkok Exp & Metro (BEM)ทิศทางไตรมาส 1/63 ยังมีกำไร
Results Preview
ผลกำไรเริ่มเซ แต่ยังเอาอยู่ คงคำแนะนำ ทยอยสะสม “ซื้อ” ตัวเลขผู้ใช้ทางเดือน มี.ค. ล่าสุด ทำให้เรายังเชื่อมั่นว่า BEM ยังคงอยู่ในสถานะที่ดีพอในการรักษาการมีกำไรในปีนี้ได้ โดยแม้กำไรไตรมาส 1/63 จะหดตัว -13% QoQ เป็น 454 ลบ. จากผู้ใช้บริการทางด่วนลดลง -11% YoY รถไฟฟ้า +3% YoY ซึ่งยังคงห่างไกลจากระดับที่ BEM จะมีความเสี่ยงขาดทุน ซึ่งเราทดลองประเมินไว้ที่ปริมาณผู้ใช้บริการจะต้องลดลง -70% YoY เฉลี่ยทั้งปี เราคงคำแนะนำทยอยสะสม “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 13.30 บาท/ หุ้น
คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/63 จะเริ่มเซแล้ว
จากสถิติปริมาณผู้โดยสาร และ ผู้ใช้ทางด่วนรายเดือน เราประเมินว่า BEM จะรายงานกำไรสุทธิ 454 ลบ. ในไตรมาส 1/63 หดตัว -13% QoQ เนื่องจากในเดือน ม.ค. เป็นช่วงคาบเกี่ยวของเทศกาลวันหยุดเหมือนทุกปี ขณะที่การประกาศ พรก.ฉุกเฉินฯ อันเนื่องมาจากผลกระทบ COVID-19 ในช่วงครึ่งเดือนหลังของเดือน มี.ค. ทำให้ปริมาณผู้ใช้บริการไตรมาส 1/63 ลดลงแรงกว่าปกติกว่าทุกปี โดยลดลง -9% QoQ สำหรับทางด่วน และ -14% QoQ สำหรับรถไฟฟ้าตามลำดับ อย่างไรก็ดี การทยอยเปิดส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/62 และเปิดครบเส้นทางวงแหวนสีน้ำเงินในปลายเดือน มี.ค. 63 นั่นจึงทำให้ภาพไตรมาส 1/63 นั้น รถไฟฟ้าจึงยังขยายตัว +3% YoY ขณะที่ทางด่วนหดตัว -11% YoY ส่วนในภาพปี กำไรไตรมาส 1/63 หดตัว -47% YoY เนื่องจากปีก่อนมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 106 ลบ. ซึ่งปัจจุบัน TTW ได้เปลี่ยนสถานะเป็นเงินลงทุนแล้ว โดย BEM จะได้ประโยชน์เมื่อ TTW จ่ายปันผลออกมาให้
การหดตัวของปริมาณผู้ใช้ระดับนี้ BEM “เอาอยู่”
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาเฉพาะเดือน มี.ค. พบว่า ผู้ใช้ทางด่วนลดลง -26% YoY และ รถไฟฟ้าลดลง -29% YoY ถือว่าได้รับผลกระทบรุนแรง แต่อย่างไรก็ดี เราประเมินว่าหากแม้ปริมาณจราจรลดลง 50% ตลอดทั้งปี BEM ก็ยังคงมีสถานะกำไรได้ราว 1.3 พัน ลบ. (อ่าน special report Shopping List for Value Stocks 16 มี.ค. 63) มีกันชนจากโครงสร้างสัมปทานทางด่วนขยายใหม่ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เราแนะนำทยอยสะสม “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 13.30 บาท/ หุ้น อิง SOTP – DCF base
ความเสี่ยง
สถานการณ์ Lock down กรุงเทพ ยังคงมีอยู่ ซึ่งในกรณีเลขร้ายสุดลากยาวไปถึงเดือน ก.ย. 63 และทำให้จำนวนผู้ใช้บริการลดลง 70% เฉลี่ยทั้งปี ณ จุดนั้น BEM จะเริ่มมีความเสี่ยงของการขาดทุนได้
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web