- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 14 April 2020 12:19
- Hits: 1951
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 14-4-2020
Market Outlook
- • วันนี้คาด SET Index ลุ้นรีบาวด์โซนแนวต้าน 1,240-1,250 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19รายใหม่ของหลายประเทศในยุโรป สหรัฐฯ รวมถึงไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่เริ่มชะลอตัว ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคลุมด้วยมาตรการดูแล เยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ระมัดระวังปัจจัยกดดันจากการทยอยประกาศผลประกอบการบริษัทฯในช่วง 1Q63 และตัวเลขเศรษฐกิจที่อาจออกมาอ่อนตัว ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,225-1,250 จุด
- • Market Factor
- • (-) เข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการ 1Q63 ของสหรัฐฯนำโดยหุ้นกลุ้มธนาคาร JP Morgan Chase และ Wells Fargo อีกทั้งยังมีหุ้นสายการบิน United airlines ตลาดคาดได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจากการตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารและการลดจำนวนเที่ยวบินของสายการบิน โดยช่วง 1Q63 คาดดัชนี S&P500 กำไรสุทธิหดตัว YoY
- • (+) จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐเริ่มลดลงในสัปดาห์นี้เป็นระยะเวลา 3 วันต่อเนื่องจากวันที่ 10-13 เม.ย. มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3.37, 3.00, 2.74 และ 2.64 หมื่นราย ตามลำดับ สอดคล้องกับ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) นายโรเบิร์ต เรดฟิลด์ ระบุว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจะแตะจุดสูงสุดในสัปดาห์นี้ทำให้คาดสถานการณ์การแพร่ระบาดในสหรัฐฯเริ่มดีขึ้น
- • (watch) จับตาจีนรายงานตัวเลขดุลการค้า (Trade balance) ประจำเดือน มี.ค. ตลาดคาดจะกลับมาเกินดุลการค้าที่ระดับ 18.55 พันล้านดอลลาร์จากขาดดุลการค้า 7.09 พันล้านดอลลาร์ในเดือน ก .พ. จากการเริ่มเปิดเมืองและเริ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
- • (-) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI เผยรายงาน ภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วงเดือนม.ค.-มี.ค.63 คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 71,380 ลบ. ลดลง 44%YoY (อินโฟเควสท์)
- • (-) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) เผยรายงานการปรับตัวและมาตรการ SME ในภาวะวิกฤตไวรัสโควิด–19 ในช่วงเดือนมี.ค.63 จากผู้ประกอบการ SME ทั่วประเทศ พบยอดขายของกิจการเดือนมี.ค.2563 เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.2562 กิจการส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วน 87.2% หรือมีจำนวนมากถึง 2,315 ราย (จาก 2,655 กลุ่มตย.) เผยมียอดขายลดลงโดยส่วนใหญ่มียอดขายลดลงกว่า 20-40%YoY (กรุงเทพธุรกิจ)
- • (-) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)เผยผู้ประกอบการประเมินมีแรงงานภาพรวมทั้งหมดตกงาน 7 ล้านคน และหากสถานการณ์ COVID-19 ยืดเยื้อต่อไปอีก 2-3 เดือน โดยที่ไม่มีมาตรการดูแลผู้ประกอบการเพิ่มเติม จะทำมีคนตกงานเพิ่มเป็น 10 ล้านคน (โพสต์ทูเดย์)
- • (0) ตลท.ปรับเกณฑ์ Circuit Breaker จาก 2 ระดับ เป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับแรก และสอง หากลงระดับ 8% ,15% พักคราวละ 30 นาที และระดับสามหากลดลงแตะระดับ 20% พัก 60 นาที โดยมีผล 15 เม.ย.เป็นต้นไป ให้ใช้บังคับเป็นการถาวร
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 13 เม.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 28 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,579 ราย เสียชีวิต 40 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 1.0% (-2.9%DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.45 (-2% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.76% (+4.4% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 77.9 บ. หรือลดลง 23.5%YTD
- • Update Flow เมื่อวันที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 2,065.68 ลบ.ส่งผล MTD. ขายสุทธิอยู่ที่ 20,298.25 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันซื้อสุทธิ 2,031.29 ลบ.MTD.ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 6,703.25 ลบ.
Investment Strategy
- • สัปดาห์นี้เราประเมิน SET ยังผันผวนแต่มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ หลังได้ปัจจัยหนุน ดังนี้ 1) สถานการณ์ COVID-19 เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งในสหรัฐฯ ประเทศในยูโรโซนเริ่มเพิ่มในอัตราชะลอตัวลง รวมถึงไทยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำกว่าระดับ100 รายหลายวันติดต่อกันแล้ว 2) การเดินหน้ามาตรการกระตุ้น และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากบรรดาธนาคารกลาง และรัฐบาลจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก 3) รัสเซีย และซาอุฯ ตกลงยุติสงครามราคาน้ำมันด้วยข้อสรุปลดกำลังการผลิต 9.7ลบาเรลล์ต่อวันในช่วงสองเดือนหน้า 4) ปัจจัยในประเทศ ครม.เตรียมออกมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบฯเพิ่มเติมต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีปัจจุบันตลาดปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของปี 259จุด (+27%) สะท้อนความผ่อนคลายจากปัจจัยข้างต้นพอสมควรแล้ว ประกอบกับมีปัจจัยกดดันจากตัวเลขผลประกอบช่วง 1Q63 ที่จะทะยอยประกาศ โดยเริ่มจากกลุ่มธนาคาร และตามด้วยบริษัทฯอื่น ที่คาดออกมาอ่อนตัวต่อเนื่องจนถึงช่วง 2Q63 เนื่องมาจากผลกระทบจากมาตรการ Lock down ทำให้อาจเห็นแรงขายทำกำไรออกมาระหว่างสัปดาห์ เรามองกรอบการเทรดในสัปดาห์นี้ที่ 1,200-1,300 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 3 กลุ่ม ดังนี้
- • หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.
ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upsideจากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2 ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11บ/หุ้น (Yield1.5%)
- • หุ้นกลุ่มปันผลดี กำไรโต Dividend Play : TISCO จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง โดยรอบผลประกอบการปี 2562 ประกาศจ่าย 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล 9.81% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 เม.ย. 2563 นี้
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC ประเด็นทางการประกาศห้ามออกจากบ้านช่วงเวลา 22.00-04.00 น.และประกาศปิดร้านสะดวกซื้อในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ช่วงเวลา 24.00-05.00น. “มองเป็นกลาง”เพราะช่วงนี้เป็นช่วงกักตัวอยู่บ้าน และสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนปิดทำการทั้งหมด ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้ใช้บริการน้อยอยู่แล้ว การปิดทำการช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนมาชดเชยรายได้ที่เสียไปได้ โดย BJC เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากสถานการณ์ COVID-19 จากยอดขายของธุรกิจ Health care ในช่วงต้นปีถึงปัจจุบันเติบโตดี และธุรกิจบรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
- • กลุ่มMEDIA(ทีวี) : ประเด็นกสทช. มีมติปรับลดอัตราการนำส่งเงินรายปีเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (USO Fee) สำหรับผู้ประกอบกิจการดิจิตอลทีวีและผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงแบบขั้นบันได หากอ้างอิงรายได้ปี2019 ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลที่จดทะเบียนในตลาดฯที่มีรายได้เกิน1พันลบจะได้ลดอัตรานำส่งจากเดิม2%เหลือเพียง0.75%เท่านั้น แนะเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางตรง และที่มีคอนเทนต์ดีในมือ WORK BEC MCOT
13-Apr-20 Change (pts.) 10-Apr-20
SET Index 1,236.78 8.75 1,228.03
SET50 Index 833.16 4.16 829.00
SET100 Index 1,823.12 11.10 1,812.02
High 1,237.23 Gainers 713
Low 1,220.00 Unchanged 348
Value (Bt m) 49,474.55 Losers 529
Volume (*000) 9,996,289
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 15.9 13.4 13.4
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -15.1
EV/EBITDA (x) 10.3 9.4 8.9
FWD PBV (x) 1.4 1.3 1.3
Dividend Yield (%) 3.4 3.8 4.1
ROE 7.7 8.4 8.8
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 13-Apr-20 WTD MTD YTD
Institution 2,031.29 2,031.29 6,703.80 32,777.20
Proprietary (26.96) (26.96) 2,601.29 (4,748.73)
Foreign (2,065.68) (2,065.68) (20,298.25) (135,653.16)
Individual 61.36 61.36 10,993.16 107,624.69
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web