WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 13-4-2020Asia Plus Group Holding

กลยุทธ์การลงทุน      

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2563 จำนวนผู้ติดเชื่อ COVID-19 ในประเทศที่ลดต่ำลง ทำให้ Sentiment ดูผ่อนคลายมากขึ้น โดยเริ่มเห็นข้อเสนอให้เตรียมผ่อนปรนเพื่อเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามเม็ดเงินที่เข้ามาขับเคลื่อนยังมาจากนักลงทุนในประเทศเป็นหลักทำให้ Upside ของตลาดยังจำกัด แนะนำปรับพอร์ต โดยขายทำกำไร SEAFCO และ TFG แล้วนำเงินไปลงทุนเพิ่มใน RS หุ้น Top Picks เลือก LH (FV@B 11.10) และ RS (FV@B 13) สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ

        SET Index   1,228.03

       เปลี่ยนแปลง (จุด)   17.55

       มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท)   53,796

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย จับสัญญาณวันนี้

วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้นตลอดวัน จากมาตรการบรรเทา COVID-19 ที่ผ่านความเห็นของ ครม. วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท อีกทั้งการแพร่ระบาด COVID-19 ในประเทศยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง จึงทำให้ตลาดปิดตัวในแดนบวกที่ระดับ 1,228.03 จุด เพิ่มขึ้น 17.55 จุด หรือ +1.45% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 5.37 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่หนุนตลาดหลักๆ คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ PTT(+0.70%) GULF(+5.00%) GPSC(+3.41%) BGRIM(+2.87%) กลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL(+1.58%) CRC(+7.09%) BJC(+2.41%) และกลุ่มอสังหาฯอย่าง อาทิ AMATA(+4.07%) AWC(+5.36%) CPN(+10.23%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น MTC(+13.38%) KTC(+9.32%) และ AOT(+0.88%) เป็นต้น

นับเป็นครั้งแรกที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการซื้อขายในวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันสงกรานต์ ถือเป็นการร่วมมือร่วมใจในการที่เราจะผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปด้วยกัน ทั้งนี้หากพิจารณาจากสถานการณ์ภาพรวมทั่วโลกก็ยังถือว่ามีความรุนแรงอยู่มากโดยทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ และจำนวนผู้เสียชีวิตยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับในส่วนของประเทศไทย ต้องถือว่าเห็นสัญญาณในเชิงบวกเพิ่มขึ้นมาหลังการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตั้งแต่ 26 มี.ค.2563 พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมา ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเคอร์ฟิว ที่ผ่อนคลายให้หลายกลุ่มอาชีพที่หลากหลายมากขึ้นสามารถออกจากที่พักอาศัยในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 4 นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นข้อเสนอให้ผ่อนปรนมาตรการควบคุมอื่นๆ เพื่อเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น อันเป็นการลดผลกระทบในทางเศรษกิจอันเนื่องมาจาก COVID-19 ลง พัฒนาการของเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทย แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของแรงขับเคลื่อนตลาดหุ้น ยังนาจะมาจากแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก

จึงน่าจะทำให้การปรับตัวขึ้นไปของ SET Index ยังอยู่ภายใต้กรอบที่จำกัด และอาจมีแรงาขายทำกำไรสลับออกมาในบางช่วงเวลา สำหรับประเด็นอื่นๆที่ต้องติดตามในช่วงนี้ ได้แก่เรื่องของ การออกมาปรับประมาณการ World GDP Growth ของ IMF ในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเห็นตัวเลข World GDP Growth ปี 2563 ที่ติดลบ ทั้งนี้ประเมินจากสถานาการณ์ช่วงหน้านี้ ซึ่ง WTO ออกมาคาดการณ์ว่าจะติดลบ 28% กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำปรับพอร์ต โดยขายทำกำไรในหุ้น SEAFCO และ TFG ซึ่งมีอยู่อย่างละ 5% ของพอร์ตการลงทุน และให้นำเม็ดเงินเข้าลงทุนใน RS ด้วยน้ำหนักราว 10% ส่วนหุ้น Top Picks วันนี้เลือก LH และ RS

IMF จ่อปรับลด GDP โลกลง, ข้อสรุป OPEC ลดการผลิตเกือบ 10 ล้านบาร์เรล

สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นโลกให้น้ำหนักประเด็นสำคัญ คือ การประชุมร่วมระหว่าง IMF กับธนาคารโลก (World Bank) ในวันที่ 14 เม.ย. 2563 ซึ่งจะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2563 โดยคาดการณ์จะมีการปรับลด GDP Growth โลกปี 2563 ลงเป็นหดตัว สอดคล้องกับปลายสัปดาห์ก่อน องค์กรการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ซึ่งได้ปรับลด GDP Growth โลก ปี 2563 ลงเป็นหดตัว ผ่านการปรับประมาณการปริมาณการค้าโลก (World trade volume) ปี 2563 ลง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีฐาน (Base case) คาด Trade volume จะ -12.9%yoy และส่งผลให้ GDP Growth โลก -2.5%yoy ขณะที่กรณีเลวร้าย (Worse case) คาด Trade volume จะ -31.9%yoy และ GDP Growth จะโลกหดตัวแรง 8.8%yoy ซึ่งถือเป็นการติดลบมากกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ Subprime

หากพิจารณาช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ Subprimeพบว่า GDP Growth โลก หดตัว 0.1% ขณะที่ GDP Growth ไทยหดตัว 0.7% แต่ ASPS คาดว่าในประมาณการของ IMF ครั้งนี้ IMF อาจปรับลด GDP Growth โลก จนลดลงมากกว่าช่วง Subprime ได้ เพราะว่าการระบาดของไวรัส COVID-19 3

ส่วนสัปดาห์ที่แล้วประเด็นสำคัญ อีกประเด็นคือ การประชุมประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั่วโลกทั้ง OPEC+จัดการประชุมฉุกเฉินเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 เม.ย. และประชุมอีกครั้งวันอาทิตย์ 13 เม.ย. เกี่ยวกับข้อตกลงการตัดลดการผลิตน้ำมัน เพื่อให้สอดคล้องกับ Demand น้ำมันโลก ซึ่งปัจจุบัน ลดลงแรงจากไวรัส COVID-19 ยังแพร่ระบาดทั่วโลก ข้อสรุปล่าสุด

  1. ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ รวมรัสเซีย ทำข้อตกลงจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 9.7ล้านบาร์เรล/วัน (ลดลงเล็กน้อยจากข้อสรุปเมื่อวัน พฤหัสที่ 10 ล้านบาร์เรล/วัน)
  2. ประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม โดยเฉพาะสหรัฐ แคนาดา นอร์เวย บราซิล จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงรวมกันราว 5 ล้านบาร์เรล/วัน

โดยรวมหมายความว่าการปรับลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งในและนอก OPEC ในรอบนี้ จะลดลงรวมราว 14.7 ล้านบาร์เรล/วัน หรือราว 14.7% ของการผลิตน้ำมันทั่วโลก   โดยฝ่ายวิจัย ASPS มองบวก(+) เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ และนอก OPEC ตกลงร่วมมือตัดลดการผลิตกันได้ ทำให้สงคราม Price Oil จบลง จะมีผลจำกัด Downside ราคาน้ำมันดิบโลกไม่ให้ปรับฐานลงไปแรง   แต่ยังให้น้ำหนักที่ต้องติดตามในอนาคตว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ จะปฎิบัติตามข้อตกลงได้หรือไม่ การลงทุนในระยะยาว ยังแนะนำหาจังหวะเข้าลงทุนราคาหุ้นอ่อนตัว PTTEP (FV@B>110) และ PTT (FV@B>42)

ตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทยลดลง ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ดีต่อตลาดหุ้นไทยในวันสงกรานต์

สถานการณ์ไวรัส COVID-19   ในไทยเห็นสัญญาณดีขึ้นชัดเจน   ล่าสุด เมื่อวานนี้ พบผู้ติดเชื้อใหม่ 33 ราย ทำให้ผู้ติดเชื้อสะสมรวม 2,551 ราย โดยเป็นที่สังเกตว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ของไทยเพิ่มขึ้นน้อยลง โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 55 ราย ลดลง VS. (ช่วงปลายเดือน มี.ค. ต้น เม.ย. 2563) เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 112 ราย

อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ของไทยจะเริ่มลดน้อยลงดังกล่าว ASPS ประเมินเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย รวมถึง

(+) มาตรการเยียวยา ผลกระทบจาก COVID-19 เห็นได้จากทั้งรัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุด เตรียมวงเงินพยุงเศรษฐกิจราว 1.98 ล้านล้านบาท ดังที่เคยนำเสนอ

(+) มาตรากรควบคุม หลังจาก เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ได้ มาตรการควบคุมการระบาดของไทยยังเข้มงวดอยู่ เช่น ห้ามเดินทางเข้าประเทศ (Lock Down), ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการะระบาด, ห้ามออกนอกเคหะสถาน (Curfew) เป็นต้น

ล่าสุด ให้นำหนัก วันนี้ รัฐบาลจะมีการประชุมกับภาคเอกชน อาทิ FETCO, สภาหิการค้าไทย สภาอุตสหกรรมไทย ฯลฯ   รับฟังความเห็น และเตรียมเสนอการ Exit Straetegy หรือ หาข้อสรุปผ่อนเกณฑ์การ Lockdown ประเทศ รวมถึงการเสนอ การเปิดห้างสรรพสินค้า ASPS เห็นเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ตามผลต่อเศรษฐกิจ ASPS ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2563 ยังคาด -1.4%yoy Consensus คาดหดตัว 5-6% และคาดจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะกลับมาฟื้นตัว ซึ่งช้ากว่าตลาดหุ้น

ตลาดยังรอแรงผลักจาก Fund Flow เน้นหุ้น Laggard LH RS

SET Index ฟื้นขึ้นมาเร็วเกือบ 27% จากจุดต่ำสุดที่ 969.08 จุด ณ วันที่ 13 มี.ค. 2563 ด้วย reaction ในความคาดหวังว่า เริ่มเห็นสัญญาณตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในไทยชะลอลงต่ำกว่า 50 คนติดต่อกัน 4 วัน พร้อมกับอาจมีมาตรการลดระดับ Lock Down หรือเพิ่มปริมาณธุรกิจมากขึ้น

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า SET Index อาจเป็นลักษณะขยับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาเป็นปกติ รวมถึงตลาดยังขาด Fund Flow จากต่างชาติที่เข้ามาช่วยหนุน หลังจากต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.33 แสนล้านเหรียญ (ytd) เนื่องจากเม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เป็นการเยียวยาผลกระทบที่เกิดในจากภาคธุรกิจ อย่าง SME และการจัดการทางด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ทำให้ SET Index อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นได้ร้อนแรงเหมือนหลังวิกฤตซับไพร์มที่มีการใช้ QE อย่างต่อเนื่อง หนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาสั้นๆสูงถึง 1.27 แสนล้านบาท (ช่วง มี.ค. 52 - ธ.ค. 53) ผลักดัน SET Index ทะยานจาก 431.52 จุด ขึ้นไปอยู่ที่ 1032.76 จุด หรือปรับขึ้นเร็วกว่า 139% ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ภราดร เตียรณปราโมทย์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506

ภวัต ภัทราพงศ์

ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!