- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 13 April 2020 11:36
- Hits: 1227
บล.เออีซี : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 13-4-2020
Market Outlook
- • วันนี้คาด SET Index แกว่งตัวขึ้น ในกรอบ 1,220-1,270 จุด โดยได้รับแรงหนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มดีขึ้นหลังซาอุฯ และรัสเซียได้ข้อสรุปยุติการทำสงครามราคาน้ำมัน 2) ตัวเลขผู้ติดเชื้อCOVID-19รายใหม่ของหลายประเทศในยุโรป รวมถึงสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในอัตราที่เริ่มชะลอตัว
- • Market Factor
- • (+) กลุ่ม OPEC และพันธมิตรมีมติสุดท้ายตกลงปรับลดกำลังการผลิตลง 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยแม็กซิโกปรับลดกำลังการผลิต 1 แสนบาร์เรลต่อวันจาก 4 แสนบาร์เรลต่อวันในช่วงเริ่มต้น เป็นระยะเวลา 2 เดือนในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. เริ่มต้นปรับลดตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป
- • (+) การประชุม G-20 ในวันศุกร์ที่ผ่านมา กลุ่ม G-20 จะดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับประกันเสถียรภาพของตลาดพลังงาน และตกลงกันที่จะจัดตั้งกลุ่มเพื่อกำกับดูแลมาตรการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ในตลาดโดยการประชุม G-20 ครั้งถัดไปจะอยู่ในช่วงเดือน ก.ย.
- • (+) Fed ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กและรับประกันรายได้ของพนักงาน
- • (+) รัฐมนตรีกระทรวงคลังแห่งสหภาพยุโรป (EU) ได้ให้ความเห็นชอบการจัดสรรงบประมาณวงเงิน 5 แสนล้านยูโร เพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในยุโรปที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)
- • (+) จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 รายใหม่ในยุโรปและสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะสเปน ฝรั่งเศสและเยอรมันมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และสหรัฐฯ มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือ 2.7 หมื่นรายต่อวันและไม่ได้มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นเป็นแบบ Exponential หลังจากผ่านจุดสูงสุดที่ 3.4 หมื่นราย
- • (-) สมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติของสหรัฐ (NABE) เปิดเผยผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 45 รายระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงในระยะสั้นแล้ว และการว่างงานได้พุ่งสูงขึ้น คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวลงในอัตรา 26.5% ในช่วง 2Q63 หลังจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลง 2.4% ใน1Q63 นอกจากนี้อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นสู่ 12% ในช่วง 2Q63
- • (+) ธอส.เห็นชอบออกมาตรการเพิ่มเติม พักชำระเงินต้น และดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 4 เดือน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าทุกวัตถุประสงค์การกู้ที่มีวงเงินกู้ทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 3 ลบ. และมีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 35,000 บ. ครอบคลุมกว่า 1.1 ล้านบัญชีที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 (อินโฟเควสท์)
- • (+) กระทรวงคลังเห็นชอบเตรียมสนอที่ประชุม ครม.อนุมัติจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ครัวเรือนละ 15,000 บ. แก่ครอบครัวเกษตรกรกว่า 9 ล้านครัวเรือน (ฐานเศรษฐกิจ)
- • (-) ม.หอการค้าไทยเผยผลการสำรวจภาวการณ์ใช้จ่ายของผู้บริโภคประจำเดือนมี.ค.63 พบว่าทุกรายการสินค้า มีอัตราต่่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2548 (โพสต์ทูเดย์)
- • รายงาน สธ.ประจำวันที่ 13 เม.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 33 ราย ยอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,551 ราย เสียชีวิต 38 ราย
- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยล่าสุดรุ่น 5 ปี อยู่ที่ 1.03% (-3.7%DoD) และรุ่น 10 ปี อยู่ที่ 1.45 (-2% DoD) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 0.73% (0% DoD)
- • ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 63 ที่ 101.9 บ. ขณะที่ปัจจุบันเหลือ 78.3 บ. หรือลดลง 23.1%YTD
- • Update Flow เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ 1,190.92 ลบ.ส่งผล MTD. ขายสุทธิอยู่ที่ 18,232.57 ลบ. ขณะที่ นลท.สถาบันพลิกขายสุทธิ 1,154.97 ลบ.MTD..ซื้อสุทธิรวมอยู่ที่ 4,672.52 ลบ.
Investment Strategy
- • สัปดาห์นี้เราประเมิน SET ยังผันผวนแต่มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ หลังได้ปัจจัยหนุน ดังนี้ 1) สถานการณ์ COVID-19 เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งในสหรัฐฯ ประเทศในยูโรโซนเริ่มเพิ่มในอัตราชะลอตัวลง รวมถึงไทยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำกว่าระดับ100 รายหลายวันติดต่อกันแล้ว 2) การเดินหน้ามาตรการกระตุ้น และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากบรรดาธนาคารกลาง และรัฐบาลจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก 3) รัสเซีย และซาอุฯ ตกลงยุติสงครามราคาน้ำมันด้วยข้อสรุปลดกำลังการผลิต 9.7ลบาเรลล์ต่อวันในช่วงสองเดือนหน้า 4) ปัจจัยในประเทศ ครม.เตรียมออกมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบฯเพิ่มเติมต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีปัจจุบันตลาดปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของปี 259จุด (+27%) สะท้อนความผ่อนคลายจากปัจจัยข้างต้นไปพอสมควรแล้ว ประกอบกับตัวเลขผลประกอบการไตรมาส1/63 ที่จะทะยอยประกาศออกมา โดยเริ่มจากกลุ่มธนาคาร มีโอกาสออกมาไม่ดี ต่อเนื่องถึง ไตรมาส 2/63 ที่ บมจ.ต่างๆ ได้รับผลกระทบจากการ Lock down เต็มๆ ทำให้อาจเห็นแรงขายทำกำไรออกมาในระหว่างสัปดาห์ เรามองกรอบการเทรดในสัปดาห์นี้ที่ 1,200-1,300 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่คาดมีผลประกอบการดีในหุ้น 3 กลุ่ม ดังนี้
- • หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ TEAMG: (กำไรสุทธิ 4Q62 ทำได้ 35 ลบ.โต 67% YoY ด้วยความเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งมากประสบการณ์ของธุรกิจออกแบบ ควบคุมงานโครงการกว่า 42 ปี บ.มีศักยภาพสูงหนุนเดินหน้าคว้าโปรเจคใหม่ต่อเนื่อง ปี 63 คาด Backlog ทำ New High หนุนรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจากนี้ มอง TEAMG น่าสนใจหลัง ปจบ.เทรดที่ PE ระดับ 15.5X (ขณะที่อุตสาหกรรมเทรดที่ระดับ 50.2X) ล่าสุดประกาศรับงานใหม่ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.เพิ่มทั้งหมด 5 โครงการ เป็นงานจากภาครัฐทั้งหมดโดยแบ่งเป็นงานที่ปรึกษา 2 โครงการ และงานจัดหาติดตั้งเครื่องมือ 3 โครงการโดยมีระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 180วัน – 68เดือน รวมมูลค่างานที่ได้รับทั้งสิ้น 1.04 พันลบ.ขณะที่ความเสี่ยงภาระหนี้สินต่ำมาก โดยมีสัดส่วน Interest bearing debt/equity เพียง 0.04X นอกจากนี้ให้ Dividend Yield กว่า 6.5%), SEAFCO (กำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ 409 ลบ.เพิ่มขึ้น11.22%YoY ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 63 ทำ New High ปจบ.มี Backlog กว่า 2.7 พัน ลบ.บวกกับได้อานิสงส์บวกจากร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่ผ่านสภา และยังมี Upsideจากงานประมูลใหม่ จากโครงการลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน), CPALL (กำไรปกติ 4Q62 ที่ 6 พัน ลบ. โต 10%YoY, +8%QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก 7-11 และ MAKRO ตั้งเป้าเปิด 7-11 เพิ่มอีก 700 สาขาในปี 63 และมีสาขาครบ 13,000 สาขาภายในปี 64 (จาก 11,712 สาขา ณ สิ้นปี 62) ประเด็นประกาศเข้าลงทุนซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซีย มูลค่าลงทุนราว 1 แสน ลบ. ในสัดส่วนลงทุน 40% ติดตามการจัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ โดยบริษัทแจ้งว่าใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดและเงินกู้ โดยยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ระยะยาวมองเป็นบวกจาก Synergy ที่เกิดขึ้น จะทำให้กลุ่ม CP มีทั้งค้าส่ง ค้าปลีก และสะดวกซื้อครบวงจร
- • กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมโดยเน้นหุ้นที่กำไรทั้งปี 62 โตดีและปี 63 โตต่อ แนะนำ SABINA: รายงานผลประกอบการปี 62 ออกมาดี โดยกำไร 413.2 ลบ. เติบโต 14.3%YoY จากยอดขายที่โต 6.1%YoY และอัตราการทำกำรที่ดีขึ้น GPM 54.4% NPM 12.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 51.6%,11.7% ตามลำดับสาเหตุจาก 1) ปรับสัดส่วนการจ้างผลิตจากภายนอกเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งทั้งปี และ 2) การขายออนไลน์ประสบความสำเร็จดีมากขณะที่ปี 63 คาดเติบโตต่อเนื่องจากการเน้นการขายผ่านช่องทางค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน บวกกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 100 SKU และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม, SSP ช่วง 4Q62 กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 134.2 ลบ. โต 23.1%YoY คาดรายได้และกำไรปี 63 ทำ New high จากการรับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าที่เวียดนามและมองโกเลีย ขนาดรวม 55 MW ซึ่ง COD ตั้งแต่ มี.ค. 62 และ ก.ค. 62 ตามลำดับ ขณะที่ 2H63 เริ่ม COD โครงการยามากะที่ญี่ปุ่นขนาด 30 MW. หนุนกำลังผลิตรวมทั้งปีกว่า 158 MW. ล่าสุด SSP ประกาศจ่ายปันผล 0.11บ/หุ้น (Yield1.5%)
- • หุ้นกลุ่มปันผลดี กำไรโต Dividend Play : TISCO จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง โดยรอบผลประกอบการปี 2562 ประกาศจ่าย 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล 10.1% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 เม.ย. 2563 นี้
- • Trading Idea
- • กลุ่มบริโภคภายในประเทศ CPALL, BJC ประเด็นทางการประกาศห้ามออกจากบ้านช่วงเวลา 22.00-04.00 น.และประกาศปิดร้านสะดวกซื้อในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ช่วงเวลา 24.00-05.00น. “มองเป็นกลาง”เพราะช่วงนี้เป็นช่วงกักตัวอยู่บ้าน และสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนปิดทำการทั้งหมด ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้ใช้บริการน้อยอยู่แล้ว การปิดทำการช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนมาชดเชยรายได้ที่เสียไปได้ BJC เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากสถานการณ์ COVID-19 ยอดขายของธุรกิจ Health care ในช่วงต้นปีถึงปัจจุบันเติบโตดีและธุรกิจบรรจุภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวจากปีก่อน
- • กลุ่มMEDIA(ทีวี) : ประเด็นกสทช. มีมติปรับลดอัตราการนำส่งเงินรายปีเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (USO Fee) สำหรับผู้ประกอบกิจการดิจิตอลทีวีและผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงแบบขั้นบันได หากอ้างอิงรายได้ปี2019 ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลที่จดทะเบียนในตลาดฯที่มีรายได้เกิน1พันลบจะได้ลดอัตรานำส่งจากเดิม2%เหลือเพียง0.75%เท่านั้น แนะเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางตรง และที่มีคอนเทนต์ดีในมือ WORK BEC MCOT
10-Apr-20 Change (pts.) 9-Apr-20
SET Index 1,228.03 17.55 1,210.48
SET50 Index 829.00 12.53 816.47
SET100 Index 1,812.02 26.68 1,785.34
High 1,228.07 Gainers 790
Low 1,205.15 Unchanged 342
Value (Bt m) 53,795.91 Losers 434
Volume (*000) 10,827,878
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 15.7 13.3 13.3
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -15.1
EV/EBITDA (x) 10.4 9.4 8.9
FWD PBV (x) 1.4 1.3 1.3
Dividend Yield (%) 3.5 3.8 4.1
ROE 7.7 8.4 8.8
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 10-Apr-20 WTD MTD YTD
Institution (1,154.97) 2,770.66 4,672.51 30,745.92
Proprietary 119.19 2,960.27 2,628.25 (4,721.77)
Foreign (1,190.92) (11,656.48) (18,232.57) (133,587.48)
Individual 2,226.70 5,925.55 10,931.80 107,563.33
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ชัยรัตน์ คงสุนทร
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
Data Support / Secretary
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web