- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 14 October 2014 17:51
- Hits: 2278
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เน้นซื้อค่าบวก/อ่อนตัวรอซื้อต่ำ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงต่อ 10.37 จุด มาปิดที่ 1542.35 ซึ่งหลุดแนวฟิวเตอร์ที่เราให้ไว้ที่ 1545 จุดแล้วโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน&ปิโตรเคมีนำตลาดลง เพราะราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องกดดันผลประกอบการ 3Q-4Q57 เนื่องจากมี Stock loss นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.9 พันล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ ส่วนสถาบันในประเทศ & พอร์ตบล.ขายสุทธิเล็กน้อย นับว่า Sentiment ของตลาดหุ้นไทยยังเป็นลบ เนื่องจากความกังวลกับการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจโลกกดดัน อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีสิทธิรีบาวด์ระยะสั้นได้จากความหวังว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3/57 ซึ่งจะทยอยออกมาถึงกลางเดือนพ.ย.57 แต่ถ้าการรีบาวด์มีระยะทางไม่มากและไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันของ SET Index (ระยะสั้นมากอยู่ที่ 1560 จุด) ก็ยังมีโอกาสที่จะปรับฐานต่อ ซึ่งกรณีนี้จะมีเป้าหมายที่ 1500+/- จุด กลยุทธ์ โดยหลักเป็นการซื้อตามด้วยค่าบวก และหากแรงยังไม่แข็งแกร่งมาก ก็ไม่ควรหวัง Gap กำไรสูง การไม่ขึ้นไปยืนเหนือ 1560 จุดน่าจะต้องปรับพอร์ตการลงทุนอีกรอบสำหรับพอร์ตที่มีหุ้นเยอะและเงินสดเหลืออยู่น้อย และการเสี่ยงลงทุนกับหุ้นที่ราคาหวือหวาอาจใช้ผลิตภัณฑ์ Option เข้ามาช่วยเพื่อจำกัดผลขาดทุนในกรณีที่ไม่เป็นไปตามคาด หุ้นพื้นฐานแนะนำลงทุนในวันนี้... ไม่มี-Wait & See ไปก่อนการวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดโดยรวมเป็นลบ (ปิดลบและใต้เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน) แต่มีโอกาสรีบาวด์สั้นๆ โดยมีแนวต้าน 1550 หรือ 1560 ค่าลบของตลาดูไม่ดี มีสิทธิลงไป New Low ที่ 1500 (+/-10 จุด) สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ทางเทคนิคและให้ถือต่อ ได้แก่ SEAOIL, HEMRAJ,MAJOR, SAMART, RATCH ส่วนที่เข้าใหม่เป็น TPOLY, CGS, SST, MIDA หุ้นที่หลุด List คือ CWT และหุ้นที่แนะนำไปแล้วและอยู่ในพื้นที่น่าTake Profit ประกอบด้วย –ไม่มี-
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ
+ จีน : ยอดส่งออกเดือนก.ย. +15.3%YoY แตะที่ 2.137 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงสุดในรอบ 19 เดือน การนำเข้า +7%YoY เป็น 1.827 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน ยอดเกินดุลการค้าเท่ากับ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ลดลงจากส.ค.57 ที่ 4.98หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับ 9M57 มูลค่าส่งออกของจีน +3.3%YoY เป็น3.16 ล้านล้านดอลลาร์
• จีน : ทางการปรับขึ้นภาษีทรัพยากร โดยจะเพิ่มภาษีทรัพยากรประเภทน้ำมันดิบ & ก๊าซธรรมชาติจาก 5% เป็น 6% และอัตราภาษีถ่านหินรอบใหม่จะอิงกับยอดขายแทนการผลิต (ซึ่งจะเป็น 2%-10%) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.57 เป็นต้นไป
- ดัชนี DJIA ร่วงลง 223.03 จุด (-1.35%) เพราะวิตกเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า ปัจจัยจับตาคือรายงานกำไร 3Q57 ทั้งนี้ VIX (The ChicagoBoard Options Exchange Volatility Index) ซึ่งเป็น Benchmark ของราคา US Option ได้ทะยานขึ้นเป็น 24.64% สูงสุดนับตั้งแต่มิ.ย.55
- สัญญาน้ำมันดิบยังซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดย WTI ส่งมอบพ.ย.อ่อนลง 8 เซนต์ ปิดที่ 85.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่ว BRENT ร่วง1.32 ดอลลาร์ ปิดที่ 88.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX เพิ่มขึ้น สัญญาส่งมอบธ.ค. +8.3ดอลลาร์ ปิดที่ 1,230 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเป็นผลจากเงิน US$ อ่อนค่าลงและประเมินว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จะทำให้เฟดไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยเร็วปัจจัยในประเทศ & ข่าวหลักทรัพย์เด่น
• แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP 2015) ที่จะใช้ในช่วงปี 2558-2579 ใกล้เสร็จ ในเบื้องต้นคาดว่าจะลดการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าลงจากปัจจุบันที่ 70% เพิ่มสัดส่วนการใช้ถ่านหิน เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ ส่วนเรื่องโรงฟฟ้านิวเคลียร์คาดว่าจะเข้ามาในปีปลายๆ แผน สำหรับเรื่องภาษี คาดว่าจะมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น (ปริมาณใช้ดีเซล 60 ล้านลิตร/วัน ใช้เบนซิน 22 ล้านลิตร/วัน)
• TISCO : กำไรสุทธิ 3Q57 เท่ากับ 1.1 พันล้านบาท (+10%QoQแต่ -4%YoY) โดยสินเชื่อสิ้น 3Q57 ลดลง 2.0%QoQ หลักๆมาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ซบเซา แต่ NII เพิ่ม 3%QoQ เพราะต้นทุนเงินฝากลดลง ส่วน Non-NII บวก 6%QoQ โดยมาจากตลาดหุ้นที่ดีขึ้น & กำไรจากการลงทุนในตราสารหนี้ ด้าน NPL Ratio ขยับขึ้นเป็น 2.35%แนวโน้มดีขึ้นแต่ไม่เร็ว เพราะอุปสงค์รถยนต์ที่ฟื้นช้า & ตลาดรถยนต์มือสองยังไม่ดีเนื่องจากอุปทานสูง เรามีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) กับTISCO แนะนำถือ (TP : 44 บาท)
+ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง พอ.อ.อ.ประจินเร่งผลักดันอี-ออคชั่นรถไฟทางคู่ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอยให้ได้ก่อนสิ้นปี 57 และชงครม.อนุมัติปรับแบบสถานีกลางบางซื่อ ของรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต ค่าก่อสร้างเพิ่มอีก 8,140 ล้านบาท...คาดผู้รับเหมาเดิมในสายนี้ คือ ITD-STEC-UNIQมีโอกาสได้งานส่วนเพิ่ม
+ TICON & ROJNA : TICON ประกาศซื้อที่ดินในนิคมฯปิ่นทองโครงการ 5 จำนวน 290 ไร่ (คิดเป็น 13% ของพื้นที่ทั้งหมดของนิคมฯ)คาดขยายพื้นที่โรงงานให้เช่าได้อีก 2 แสนตรม. (+19% จากพื้นที่ให้เช่าปัจจุบัน 1.046 ล้านตรม.)
ความเห็น DBS Retail Research : จุดเด่นของนิคมฯปิ่นทอง คือ ใกล้ท่าเรือแหลมฉบังและศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภาคตะวันออก ทำให้คาดว่าอุปสงค์การเช่าจะมีสูง โดยการเปิด AEC ก็มีส่วนเกื้อหนุนด้วย เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับ TICON (Not Rated) และการซื้อครั้งนี้เป็นบวกกับROJNA เพราะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TICON โดยมีแผนเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 26.07% ในปัจจุบันเป็นไม่เกิน 49% ภายใน 1 ปี ในราคาซื้อไม่เกิน 22บาท/หุ้น (ราคาปิดวานนี้ 18 บาท) แนะนำซื้อ ROJNA (TP-หลังเพิ่มทุน 9บาท โดยบริษัทเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม 4 : 1 @ 7 บาทเพื่อซื้อหุ้น TICON+ซื้อที่ดิน+ลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ กำหนด XR 10 พ.ย.57)
- SCC : ผลประกอบการ 3Q57 ยังซบเซา เนื่องจากยอดขายซีเมนต์ที่อ่อนแอ เพราะโครงการลงทุนภาครัฐและเอกชนยังไม่ได้เดินหน้า และมีผลขาดทุนจากสต็อกอันเนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับลดลงแรง อย่างไรก็ตามSpread ของปิโตรเคมีสูงขึ้นเป็นกว่า 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการขาดทุนในสต็อกไปได้บ้าง แนวโน้ม 4Q57 คาดว่าจะดีขึ้นจากอุปสงค์ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างกระเตื้องขึ้น เพราะหลายโครงการกลับมาเดินหน้าก่อสร้าง & ลงทุนต่อ ส่วนการลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐานขนาดใหญ่ภาครัฐจะมีผลดีต่ออุปสงค์วัสดุก่อสร้างในประเทศอย่างมีนัยสำคัญน่าจะเป็นช่วง 2H58 เป็นต้นไป แต่ในช่วงนี้ถึง 1 ปีข้างหน้ามีปัจจัยหนุนจาก Spread ของปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่ยังแข็งแกร่ง การอ่อนตัวเป็นจังหวะซื้อลงทุนใน SCC โดยให้ราคาพื้นฐานระยะยาว 1 ปีเท่ากับ 520บาท จุดเด่น คือ การเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในภูมิภาค, จะมีกำลังการผลิตซีเมนต์ใหม่จากพม่า, ลาว, อินโดนีเซีย, กัมพูชา ที่มีมาร์จิ้นดีเข้ามาเพิ่ม และฐานะการเงินแข็งแรง จ่ายปันผลดีได้อย่างสม่ำเสมอ
+/- ไม่ต่อ LTF กลุ่มประกันชีวิตได้ประโยชน์ & กลุ่มหลักทรัพย์และบลจ.เสียประโยชน์ ผู้ประกอบการประกันชีวิตกล่าวว่าถ้าทางการไม่ต่ออายุ LTF (ที่จะหมดอายุสิ้นปี 59) จะเป็นบวกกับธุรกิจประกันชีวิต เพราะเป็นช่องทางที่จะลดลง & ลดภาษีทดแทน LTF ได้ทางหนึ่ง บางบริษัทจึงเสนอให้ขยายแพดานลดหย่อนผลิตภัณฑ์ที่คุ้มครอง 10 ปีขึ้นไปจาก 1 แสนเป็น 2 แสนบาท/ปี ส่วนผลิตภัณฑ์บำนาญขยายการลดหย่อนจาก 2 แสนเป็น 3 แสนบาท/ปี ขณะเดียวกันหากยกเลิก LTF ก็จะเป็นลบกับกลุ่มหลักทรัพย์และบลจ. ซึ่งในแต่ละปีจะมีแรงซื้อ LTF เข้ามาหลายหมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะยกเลิก LTF หรือไม่ หรือว่าจะให้มีอยู่แต่ขยายระยะเวลาถือครองจาก 5 ปีปฎิทินเป็น 6-8 ปีปฎิทิน เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]