- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 21 May 2014 17:45
- Hits: 2976
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
SET ยังมีสิทธิผันผวนและปรับลง แต่กรอบลงน่าจะจำกัดมากขึ้น...
กลยุทธ์ : แม้การประกาศใช้กฎอัยการศึกจะยังกดดันตลาด แต่โอกาสที่ปัญหาการเมืองจะคลี่คลายก็ยังช่วยหนุนให้ SET มีแรงซื้อต่อเนื่อง ดังนั้นเราแนะนำให้เลือกหุ้นทยอยเข้าซื้อได้โดยเฉพาะเมื่อ SET ปรับลง แต่เป็นลักษณะค่อยๆ ทยอยตั้งรับ และยังจำกัดพอร์ตไว้ก่อน เพื่อรอติดตามท่าทีของฝ่ายต่างๆ รวมถึงรอดูแนวทางแก้ปัญหาที่ชัดเจนกว่านี้ด้วย
หุ้นเด่นทางเทคนิค : BECL, BEAUTY, SF(buy back)
แนวโน้ม : เมื่อวานนี้ SET ถูกกดดันจากข่าวการประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีการทำรัฐประหาร แต่ก็สร้างความไม่มั่นใจในสถานการณ์การเมืองต่อนักลงทุนต่างประเทศพอควร อย่างไรก็ตามแรงซื้อจากสถาบันในประเทศยังช่วยพยุงตลาดไว้ได้บ้าง ทำให้ SET อยู่ในลักษณะแกว่งทรงตัวได้ในด้านลบตลอดทั้งวัน เนื่องจากนักลงทุนยังมีความหวังกับแนวโน้มที่ปัญหาการเมืองจะคลี่คลายลงในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตามเช้านี้ SET ยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลงค่อนข้างมาก หลังจากผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทค้าปลีกในสหรัฐสร้างความผิดหวังกับนักลงทุน ทำให้ FSS คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังมีการแกว่งตัวผันผวนและปรับตัวลงต่อเนื่องได้อีก แต่กรอบการปรับลงอาจจะเริ่มจำกัดมากขึ้น เพื่อรอลุ้นโอกาสที่ปัญหาการเมืองจะผ่อนคลาย ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้ความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของบ้านเรากลับคืนมาได้ โดยยังต้องติดตามท่าทีของฝ่ายต่างๆ รวมทั้งผลประชุมหาทางออกประเทศจาก สว. อีกครั้ง ดังนั้น FSS จึงยังแนะนำให้รอเลือกหุ้นซื้อเฉพาะเมื่อตลาดปรับลง โดยยังใช้วิธีค่อยๆ ทยอยเข้ารับ เพื่อรอดูความชัดเจนไปพร้อมๆ กันด้วย
แนวรับ 1390-1387 , 1384-1380 จุด แนวต้าน 1398-1402 , 1404-1406 จุด
Fund Flow กระแสเงินทุนยังไหลสุทธิเข้าภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 แต่ปริมาณเบาบางลงไปมากเนื่องจากมีแรงกดดันจากการไหลออกของเงินทุนจากไทยหนักราว US$256.6 ล้าน ขณะที่อินโดนีเซียแม้ว่าตลาดหุ้นวานนี้ปรับลง 2.4% แต่เงินทุนไหลเข้ามากที่สุดในกลุ่ม TIP ราว US$44.5 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนวันนี้น่าจะเบาบางหลังประธานกลาง Fed สาขาฟิลาเดลเฟียระบุว่าอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอาจปรับขึ้นเร็วกว่าคาดตามเศรษฐกิจสหรัฐที่ปรับดีขึ้น
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) ประกาศกฎอัยการศึกวันแรก เงินบาทอ่อนค่า 0.2% ต่างชาติขายทั้ง 3 ตลาด (ขายพันธบัตร 2 พันล้านบาท หุ้น 8.4 พันล้านบาท ฟิวเจอร์ส 4 พันสัญญา) ค่าเสี่ยงของประเทศ (CDS) ขยับขึ้น 6bps แตะระดับสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5-8 ปีปรับขึ้นเล็กน้อย ส่วนตลาดหุ้นปรับลง 15.9 จุด (-1.1%) กลุ่มที่ปรับลงแรงสุดส่วนใหญ่เป็น Big cap. และเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นมาแรงตั้งแต่ต้นปี ได้แก่กลุ่มขนส่ง (AOT), กลุ่ม ICT (ADVANC, SAMART), กลุ่มอสังหาฯ (CPN, EVER) กลุ่มแบงก์ (SCB, KBANK) และกลุ่มการแพทย์ (BGH) ขณะที่กลุ่มที่แข็งแรงกว่าตลาดเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นมาน้อยอยู่แล้ว ได้แก่กลุ่มยานยนต์ และค้าปลีก
(+) ทุกวิกฤตมักมีโอกาส ตลาดที่ปรับลงแรงวานนี้ทำให้ PE ที่เคยอยู่ระดับสูง 14 เท่า ลดลงเป็น 13.4 เท่าในปีนี้และเหลือเพียง 11.8 เท่าในปีหน้า แม้ตลาดจะมีโอกาสปรับลงและต่างชาติยังขายต่อ แต่ที่ระดับ PE 12.8-13 เท่าเริ่มน่าสะสมหุ้น ซึ่งคิดเป็น SET 1,360-1,370 จุด อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นกลุ่มที่ยังมีความเสี่ยงยังคงเป็นกลุ่ม Big cap. ที่ต่างชาติถือครองจำนวนมาก คือกลุ่ม ICT, แบงก์, ท่องเที่ยว, วัสดุก่อสร้าง ขณะที่กลุ่มที่แข็งแรงกว่าตลาดในระยะสั้นน่าจะเป็นกลุ่มอาหาร อิเล็คทรอนิคส์ ยานยนต์ แต่สำหรับระยะยาว 6 เดือนขึ้นไป เรายังชอบกลุ่มท่องเที่ยว การแพทย์ ค้าปลีก ยานยนต์ และแบงก์
(0) สินเชื่อเดือนเม.ย.ซบเซาตามเศรษฐกิจและบรรยากาศการเมือง ธนาคาร 7 แห่งยังไม่รวม SCB, KTB มีสินเชื่อเติบโตเพียง 0.14% M-M ในเดือนเม.ย. รวมสินเชื่อใน 4 เดือนแรกเพิ่ม 0.7%YTD ธนาคารที่เน้นเช่าซื้อ (TISCO, KKP, TCAP) ยังมีสินเชื่อลดลง 0.7% M-M ส่วนธนาคารขนาดใหญ่มีสินเชื่อเพิ่มเฉลี่ย 0.6% M-M เรายังคงคำแนะนำ Neutral กลุ่มธนาคา และยังคงเลือก KBANK (ราคาเป้าหมาย 212 บาท) เป็น Top pick แต่หากเก็งกำไรผลประกอบการ 2Q14 แนะนำ SCB (ราคาเป้าหมาย 204 บาท) เพราะจะมีกำไรพิเศษจากการขาย SCSMG ในไตรมาสนี้
(+) GFPT การประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ยังไม่มีข้อมูลใหม่ สถานการณ์ยังสอดคล้องกับประมาณการของเรา โดยแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q14 น่าจะเติบโตเล็กน้อย Q-Q จากปริมาณขายที่สูงขึ้น ส่วนราคาไก่ทรงตัว และกำไรน่าจะสูงสุดใน 3Q14 ซึ่งเป็น high season ของการส่งออก เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 12% Y-Y เติบโตใกล้เคียงกับ CPF และมี upside ต่อราคาเป้าหมายใกล้เคียง CPF เราแนะนำซื้อทั้งคู่ โดยคงราคาเป้าหมาย GFPT 16 บาท และ CPF 33 บาท
อย่างไรก็ตาม ที่ราคาปัจจุบัน CPF น่าซื้อมากกว่าเพราะราคาหุ้นที่ laggard กว่า -9%YTD ขณะที่ราคาหุ้น GFPT +8%YTD
(+) TOG ไตรมาสแรกที่ผ่านมาทำผลงานได้น่าประทับใจเกินคาด โดยกำไรสุทธิเพิ่ม 81% Q-Q และ 295% Y-Y จากการทำการตลาดร่วมกับลูกค้า และควบคุมต้นทุนอย่างจริงจัง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นอย่างชัดเจนเป็น 26% จากไตรมาสก่อนๆ ที่ 19-20% เราจึงปรับกำไรสุทธิปีนี้ขึ้น 50% เป็น 205 ล้านบาท เติบโต 33% Y-Y และปรับเป้าหมายขึ้นเป็น 5.50 บาทจากเดิม 3.90 บาท (DCF) ปัจจุบัน TOG มี PE เพียง 11.6 เท่า และคาดให้เงินปันผลตอบแทน 6% เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็นทยอยซื้อ จากเดิมขาย
ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมาร่วงแรง 137.55 จุด หลังจากทีปี่ปิดบวกมาติดต่อกัน 3 วันทำการ หลังเจ้าหน้าที่ FED ออกมากล่าวว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด รวมถึงผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่ออกมาน่าผิดหวัง
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยประเด็นที่นักลงทุนกังวลยังเป็นเรื่องของมูลค่าหุ้นสูงเกินไป ความเป็นไปได้ของ ECB ที่จะออกมาตรการต่างๆเพิ่มเติมรวมถึงการเลือกตั้งในภูมิภาค
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดเช้านี้ปรับตัวในแดนลบโดยจับตา BoJ ในเรื่องของนโยบายการเงินรวมถึงประเด็นการเมืองในไทย
ค่าเงินบาทแกว่งตัวผันผวน คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.48-32.62 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ขยับลง 0.17 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 102.44 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังราคาปรับตัวขึ้นในวันก่อนหน้า อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในเช้าวันนี้จากประเด็นอุปทานจากลิเบีย
ราคาทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย 0.80 ดอลลาร์/ออนซ์ มาปิดที่ 1,294.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หลัง Dollar Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงรายงานที่ว่าอุปสงค์ของทองคำจากจีนและอินเดียในไตรมาสแรกนั้นลดลง