- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 14 November 2019 20:50
- Hits: 543
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เฟดแถลงเศรษฐกิจยังแกร่ง แต่เจรจาการค้ากดดัน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SYNTEC (จาก Fully Valued เป็นซื้อ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ -11.06 จุด ปิดที่ 1615.14 จุด มูลค่าการซื้อขายปานกลางเป็น 52.5 พันล้านบาท ดัชนีมีการปรับลงเช่นเดียวกับเพื่อนบ้าน หลังทรัมป์แถลงเรื่องเจรจาการค้าแบบไม่ชัดเจน อีกทั้งผลประกอบการที่ประกาศไม่สดใส ถึงจันทร์ กำไรตลาดรวม -24% y-o-y และ -7% q-o-q ส่วนข่าวลบ STEC หุ้นปรับลงมากดึง SET ไป 0.5จุด ตลาดรอแถลงพาวเวลต่อสภาคองเกรส ขณะที่ซื้อสุทธิมากคือ รายย่อย ต่างชาติ ขายสุทธิมากเป็น สถาบัน ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติซื้อสุทธิ 97 ล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: เฟดแถลงเชิงบวก แต่เจรจาการค้ายังคลุมเครือ ปัจจัยบวกคือ เฟดยังมีมุมมองดีกับศก.สหรัฐ CPI ต.ค.สหรัฐเพิ่มดี ดาวโจนส์และน้ำมันปรับขึ้นได้ แต่ปัจจัยลบคือ การเจรจาการค้าไม่ชัดเจนจากทรัมป์ เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองคำและพันธบัตรปรับขึ้น อุตสาหกรรมสายการบินขาดทุนหนัก ร้องขอลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อนบ้านเช้านี้ Mix ผลประกอบการ 3Q62 ไทยปรับลงไม่สดใส
# ระยะสั้นคาด SET- Sideways ลุ้นรีบาวด์ หลังถ้อยแถลงเฟดออกมาดี แต่เจรจาการค้ายังคอยกดดัน ติดตามการฟื้นตัวหุ้น REITs & IFFs หลังบอนด์ยิลด์สหรัฐลด เก็งกำไร CPF กำไรออกมาดี แต่ยังหลีกเลี่ยง STEC คดีติดสินบนเป็นลบ เราคาดว่า SET ซื้อขายในกรอบ 1600-1630 จุด แนวต้านเป็น 1620-1630 จุด แนวรับอยู่ที่ 1600-1590 จุดStop Loss ต่ำกว่า 1620 จุด การเข้าเก็งกำไรไม่ควรหวังผลตอบแทนสูง หาจังหวะขายทำกำไร กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนทยอยสะสม เป็นรายกลุ่มและรายตัว(Selective) ตาม Theme เป้าหมายดัชนีปีนี้ 1680 จุด ปีหน้า 1725 จุด แนะนำ หุ้น Domestic Play หุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ หรือปันผลสูงแทน ด้านหุ้นเข้า-ออก MSCI มีผล 26 พ.ย.62 หุ้นขนาดใหญ่ เข้า- BGRIM,GPSC,OSP,SAWAD หุ้นออก- ไม่มี หุ้น Small Cap: เข้า- CENTEL,DOHOME,JMT,SPRC,STPI,TPIPP,TQM หุ้นออก-CBG,SAWAD,TISCO
# Stock Pick Today : CHG คาดกำไรสุทธิ 3Q62 แข็งแกร่งที่ 190 ล้านบาท (+26%YoY, +54%QoQ) ซึ่งมาจากรายได้ +14%YoY เพราะ U Rate สูงขึ้น & โรงพยาบาลใหม่ 2แห่งทำรายได้เพิ่มขึ้น และ EBITDA margin สูงขึ้นหลังโรงพยาบาลเปิดใหม่ขาดทุนน้อยลง คาดกำไรสุทธิปี 63F เติบโตสูง 15%YoY เพราะโรงพยาบาลใหม่ 2 แห่งจะคุ้มทุนรวมทั้งโรงพยาบาลที่ทำมีกำไรอยู่แล้วก็มีรายได้เติบโต & มี Economy of scale ที่ดีขึ้น มีโอกาสได้เงินชดเชยจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่ม คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 2.70บาท (DCF)
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เปลี่ยนกลับมาให้ภาพลบ(เล็กๆ)อีกครั้ง {“ปิดลบ”ใต้“SMA10วัน”อีกครั้ง (โดยติด“แนวต้านสำคัญ” และยังถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่งลง”เป็นหลัก แต่“ค่าบวก”(มีแนวรับย่อย“1610+/-”หนุน) จะทำให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1620 (หรือ 1630) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำ กว่า 1610” (แนวรับย่อย “1600 – 1590 / 1580” จุด)} คาดหุ้น New High เข้ามาใหม่คือSCB,EASTW,BDMS,BTS,GLOBAL ที่ยังอยู่ใน List คือ SPRC,PTTGC,ESSO,MBK,GPSC,JMT,SAT หุ้นหลุด List คือ TASCO,STEC,BCP,EPG,MINT,SISB หุ้นอยู่ในพื้นที่Take Profit คือ ไม่มี
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : ANAN (ถือ -ราคาพื้นฐาน 3.10)
ASIAN (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 4.70)
HANA (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 26.50)
QH (ถือ -ราคาพื้นฐาน 3.10)
Flash Note : AIMIRT (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 15.60)
COM7 (ถือ -ราคาพื้นฐาน 27.25)
CPF (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 33.00)
CPNREIT (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 30.00)
HUMAN (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน Under Review)
KCE (ถือ -ราคาพื้นฐาน 17.10)
PF (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 0.95)
SAWAD (ถือ -ราคาพื้นฐานอยู่ระหว่างปรับปรุง)
SEAFCO (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 7.91)
SYNTEC (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 2.33)
New Listing : BC
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ: พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวที่ยั่งยืน
# นายพาวเวลได้กล่าวแถลงการณ์ว่าด้วยภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวที่ยั่งยืน โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้นายพาวเวลยังส่งสัญญาณว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป ตราบใดที่ข้อมูลซึ่งได้รับมานั้น ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเฟดที่ว่า เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวปานกลาง, ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
- สหรัฐ: นักลงทุนยังกังวลเจรจาการค้าที่ยังไม่แน่นอน
# นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถสรุปข้อตกลงในการเจรจาการค้าเฟสแรก ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน หากสหรัฐไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน
+ สหรัฐ: ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยแล้วเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)ทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.
+ ดัชนีหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ ขานรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,783.59 จุด เพิ่มขึ้น 92.10 จุด หรือ +0.33% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่3,094.04 จุด เพิ่มขึ้น 2.20 จุด หรือ +0.07% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,482.10 จุด ลดลง 3.99 จุด หรือ -0.05%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นทำนิวไฮอีกครั้งเมื่อคืนนี้ (13 พ.ย.) ขานรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่แสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังได้แรงหนุนจากราคาหุ้นดิสนีย์ที่ทะยานขึ้นกว่า 7% หลังจากยอดลงทะเบียนผู้ใช้บริการสตรีมมิ่ง "Disney+" พุ่งทะลุ 10 ล้านรายอย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดในระหว่างวัน
+ น้ำมัน: ปรับขึ้น ขานรับถ้อยแถลงโอเป็กและพาวเวล
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 57.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 62.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 พ.ย.) ขานรับถ้อยแถลงของเลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งต่างก็แสดงมุมมองในเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของรัฐบาลสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นเพียง 1 ล้านบาร์เรล
- ทองคำ: ปรับขึ้น เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย หลังเจรจาการค้าไม่แน่นอน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 9.60 ดอลลาร์ หรือ 0.7% ปิดที่1,463.30 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 พ.ย.) เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง เป็นปัจจัยหนุนให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะมีการประกาศต่อเนื่องในสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค., ยอดค้าปลีกเดือนต.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนต.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire StateManufacturing Index) เดือนพ.ย. จากเฟดนิวยอร์ก, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ย.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
-อุตสาหกรรมการบิน: 5 สายการบินโลว์คอสต์ร้อง รมว.คลัง ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอากาศยาน
# 5 สายการบินโลว์คอสต์ ประกอบด้วย สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ สายการบินไทยเวียดเจ็ท และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ทำหนังสือยื่นต่อนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เพื่อขอให้พิจารณาปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชิ้อเพลิงเครื่องบิน เนื่องจากสายการบินประสบปัญหาขาดทุนท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอส่งผลต่อการท่องเที่ยว และได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก
# AAV และ TAA กล่าวภายหลังเป็นตัวแทนเข้ายื่นหนังสือว่า น้ำมันเชื้อเพลิงถือเป็นต้นทุนสำคัญของทุกสายการบิน โดยมีสัดส่วน 30-35% ของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งในปีนี้ทุกสายการบินประสบปัญหาขาดทุน หากปีหน้ายังไม่มีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอากาศยาน ก็อาจจะเห็นบางสายการบินลดขนาด หรือหยุดทำการบิน เพราะที่ผ่านมาสายการบินไม่สามารถผลักภาระภาษีไปได้ทั้งหมด เพราะยังมีการแข่งขันราคากันรุนแรง (สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 13 พ.ย. 62)
+ รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อไป
# รมว.คลัง ระบุความจำเป็นที่รัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อไปส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวตาม เห็นได้จากกรณีที่โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งต้องปิดกิจการลงนั้นซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบรุนแรง ขณะที่หน่วยงานอื่น เช่นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการสนับสนุนเงินทุนไหลออก เพื่อดูแลเศรษฐกิจอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการร่วมมือกันในการประคองเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้า โดยมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบให้น้อยที่สุด
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]