- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 November 2019 18:07
- Hits: 1097
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Selective and Earnings Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ออกข้างซึ่งอ่อนแอกว่าที่เราคาดว่าจะขยับบวกได้ต่อ โดยปิดลบ 3.03 จุด ณ สิ้นวัน โดยตลาดตอบรับเชิงบวกกับความคาดหวังของการเจรจาและลงนามข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนไปพอสมควรในช่วงก่อนหน้า และเริ่มมีแรงขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่บางส่วน โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 754 ลบ. (และ Short Index Futures อีก 2.6 พันสัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศซื้อสุทธิบางๆ 108 ลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,630-1,642 จุดหลังจากปรับตัวขึ้นค่อนข้างดีสัปดาห์ก่อน โดยคาดตลาดจับตาความชัดเจนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นหลังทรัมป์กล่าวว่ายังไม่ได้ตกลงที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าเพื่อบรรลุข้อตกลงในเฟสแรก ขณะที่สัปดาห์นี้ต้องติดตามการแถลงของทรัมป์ต่อสโมสรเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กและประธาน FED ต่อหน้าสภาคองเกรสว่ามีสัญญาณความคืบหน้าของประเด็นการค้าและแนวโน้มนโยบายการเงินอย่างไร ขณะที่ฝั่งบ้านเราเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศกำไร 3Q19 ของบริษัทจดทะเบียน จึงยังเน้นเลือกเก็งกำไรเป็นรายตัว
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว มีกำไร 3Q19 แข็งแกร่งและจะดีต่อใน 4Q19
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : AOT, CHG, RBF, TACC, TISCO
หุ้นเด่นวันนี้: EA
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปีหน้า 60 บาท
- กำไรปกติ 3Q19 ดีกว่าเราและตลาดคาด 12-15% ทำได้ 1.76 พันลบ. เป็นสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงถึง 55.8% ค่าใช้จ่ายขายและบริหารลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่รายได้โรงไฟฟ้าเข้ามาเต็มที่ทุกโครงการ ทำให้ EBITDA margin สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 67.8%
- กำไรปกติ 9M19 +35% Y-Y คาดทั้งปีน่าจะโตได้เกือบ 20% คาดปีหน้าโตต่ออีก +19% จากธุรกิจใหม่ที่ส่วนใหญ่เริ่มใน 2Q20 ทั้งแบตเตอรี่เฟสแรก 1GWh รถยนต์ไฟฟ้า "MINE" ซึ่งมีคำสั่งซื้อแล้ว 3.5 พันคัน เรือไฟฟ้า โครงการ Green diesel และ PCM รวมถึงสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ติดตั้งไปแล้ว 776 หัวชาร์จ
- ราคาหุ้นที่ปรับลงทำให้ PE ปีหน้าเหลือเพียง 22 เท่า คิดเป็น PEG 1.15 เท่า ถูกสุดในรอบหลายปี
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$214ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$149ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$25ล้าน ขณะที่ไหลเข้าไต้หวัน US$40ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคหลังข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีทีท่าที่จะล่าช้าออกไป
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) KBANK และ BBL ลดดอกเบี้ย MLR ลง 0.25% และลดดอกเบี้ยประจำ มีผล 11 พ.ย. BBL ได้ประโยชน์กว่าเพราะมีสินเชื่อที่อิง MLR 36% แต่มีสัดส่วนเงินฝากประจำ 22%ส่วน KBANK มีสินเชื่ออิง MLR 40% แต่มีเงินฝากประจำ 45% เป็นกลางถึงลบเล็กน้อย เราแนะนำซื้อ BBL ราคาเป้าหมายปีหน้า 187 บาท ส่วน KBANK แนะนำถือ ราคาเป้าหมายปีหน้า 158 บาท
(0) คาดการณ์กลุ่มรับเหมา แนวโน้มกำไรปกติ 3Q19 +17% Q-Q (แต่การเติบโตแทบทั้งหมดมาจาก CK) แต่ -42% Y-Y แนวโน้มกำไร 4Q19 ดีขึ้น Q-Q จากความคืบหน้าของงาน ยังระมัดระวังการลงทุนกลุ่มนี้เพราะมีความเสี่ยงจากความล่าช้าของการเปิดประมูลงานภาครัฐและการแข่งขันสูง
(+) MAJOR กำไรสุทธิเป็นไปตามคาด 195 ลบ. -61% Q-Q, +45% Y-Y และกำไร 9M19 +16% Y-Y แนวโน้ม 4Q19 จะกลับมาโต Q-Q ตามฤดูกาลอีกครั้ง (แต่ลด Y-Y เพราะฐานสูง) เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปีหน้า 33 บาท
(+) CBG กำไรดีกว่าคาดมาก 732 ลบ. +33% Q-Q, +187% Y-Y ทำจุดสูงสุดใหม่เพราะอัตรากำไรขั้นต้นทำ new high 41.3% ตามต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและรายจ่ายของ ICUK ลดลงมาก แต่รายได้ไม่ได้โตมากนัก เราอยู่ระหว่างปรับกำไร คาดปีนี้อาจ +107% ปีหน้า +14% และปรับไปใช้เป้าปีหน้าเบื้องต้น 96 บาท
(-) ASK มีกำไรสุทธิ 225 ลบ. +8% Q-Q, +1%Y-Y น้อยกว่าคาดเพราะสำรองฯสูงกว่าคาดจาก NPL Ratio ที่เพิ่มเป็น 2.4% จาก 2.33% ใน 2Q19 หากไม่นับสำรองฯ PPOP ดีกว่าคาด 2% จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่ดีขึ้นตามสินเชื่อที่ +4% Q-Q, +11% YTD เรามีแนวโน้มลดกำไรและราคาเหมาะสมจาก 28 บาท เบื้องต้นแนะนำถือ (เดิมซื้อ) เพราะยังคาด Dividend yield ราว 6.5%
(+) ตลาดดาวโจนส์ปรับขึ้น 6.44 จุด ปิดที่ 27,681.24 จุด แม้มีความไม่แน่นอนของความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แต่ได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการของหุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ที่ออกมาแข็งแกร่ง และดีกว่าตลาดคาด
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ ถูกกดดันจากรายงานข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐไม่เห็นด้วยกับแผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
(-) ตลาดเอเชียปรับลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีน
(0) ค่าเงินบาทแกว่งในกรอบแคบ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 30.35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ ปิดที่ 57.24 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 7 แท่นเป็น 684 แท่นในสัปดาห์นี้ ปรับลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 3.5 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,462.9 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และตลาดดาวโจนส์ปรับขึ้น
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 901.19 / -13.19
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
13 พ.ย. - สหรัฐ: อัตราเงินเฟ้อ CPI (ต.ค.)
14 พ.ย. - จีน: Retail sales, Industrial Production (ต.ค.)
- ญี่ปุ่น: 3Q19 GDP
- ยูโรโซน: 3Q19 GDP
15 พ.ย. - ไทย: บจ.ส่งงบการเงินวันสุดท้าย
- ฮ่องกง: 3Q19 GDP
18 พ.ย. - ไทย: 3Q19 GDP, ยอดขายรถ (ต.ค.)
- สิงคโปร์: 3Q19 GDP
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Contact person : Veeravat Virochpoka Register : 047077
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research