- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 08 November 2019 15:52
- Hits: 1553
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
SET Index ยังได้แรงหนุนต่อจากความหวังสหรัฐ-จีน เซ็นสัญญาสงบศึกเฟส 1 ในการประชุม NATO 3 ธ.ค. 62 แต่ถูกเบรกความร้อนแรงจากดัชนี MSCI EM มีการปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้น 5% China A Share ทำให้เบียดสัดส่วนหุ้นไทยลง กดดันการไหลเข้าบางส่วนของ Fund Flow แต่ยังมีหุ้นไทยกว่า 11 บริษัทถูกเพิ่มเข้าไปในดัชนี MSCI กลยุทธ์เลือกหุ้นพื้นฐานเด่นที่ถูกคัดเข้าดัชนีดังกล่าว STPI ([email protected]) และยังชื่นชอบหุ้นที่คาดหวังผลประกอบการเด่นงวด 3Q62 EA(FV@B56), MCS([email protected]) เป็น Top Picks
SET Index 1,640.88
เปลี่ยนแปลง (จุด) 16.89
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 59,054
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …จับสัญญาณวันนี้
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงในช่วงบ่ายกว่า 15 จุด จากการมี 2 ปัจจัยหนุนนำ คือ จีน-สหรัฐได้ตกลงกันที่จะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางส่วนของแต่ละฝ่ายและผลประกอบการไตรมาส 3 บางหลักทรัพย์ดีเกินคาด จนทำให้ปิดระดับ 1640.88 จุด เพิ่มขึ้น 16.89 จุด (+1.04%) ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขาย 5.90 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่หนุนตลาดหลักๆ คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ EA(+1.13%) GPSC(+0.31%) GULF(+1.47%) TOP(+5.11%) กลุ่มสื่อสารเช่น ADVANC(+1.31%) INTUCH(+1.88%) DTAC(+4.96%) และกลุ่มปิโตรเคมีเช่น IVL(+5.60%) PTTGC(+5.14%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่บางตัวอย่างเช่น CPN(+3.47%) และ SCB(+1.71%) เป็นต้น
ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวแรงจากจุดต่ำสุด ณ 28 ต.ค. 2562 ที่ 1579.13 จุด ขึ้นมาอย่างรวดเร็วกว่า 62 จุด ภายใน 9 วันทำการ อยู่ที่ 1640.88 จุด ด้วยแรงซื้อสุทธิจากสถาบันในประเทศเพียงผู้เดียวกว่า 2.15 หมื่นล้านบาท แต่วันนี้ SET Index ยังได้แรงหนุนต่อ จากความหวังสหรัฐ-จีน เซ็นสัญญาสงบศึกเฟส 1 ในการประชุม NATO ณ 3 ธ.ค. 62 ขณะที่ในประเทศมีการประกาศตัวเลข CCI ซึ่งออกมาต่ำสุดในรอบ 65 เดือน ทำให้ในช่วงที่เหลือของปี คาดหวังมาตรการกระตุ้นของภาครัฐเพิ่มเติม อาทิ ชิมช็อปใช้เฟส 3 เป็นต้น แต่ SET Index ถูกเบรกความร้อนแรงจากดัชนี MSCI EM มีการปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้น 5% China A Share ทำให้เบียดสัดส่วนหุ้นไทยลง กดดันการไหลเข้าบางส่วนของ Fund Flow แต่ยังมีหุ้นไทยกว่า 11 บริษัทถูกเพิ่มเข้าไปในดัชนี MSCI กลยุทธ์เลือกหุ้นพื้นฐานเด่นที่ถูกคัดเข้าดัชนี MSCI Global Small Cap อย่าง STPI ([email protected]) โดยผลประกอบการงวด 3Q62 คาดจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ราว 500-600 ล้านบาท จากการได้รับเงินชดแชยจากคดีความในต่างประเทศ และยังมีโอกาศฟื้นตัวได้ดีตามหุ้น Global Play และยังชื่นชอบหุ้นที่คาดหวังผลประกอบการเด่นงวด 3Q62 EA(FV@B56) คาดว่าจะเติบโตได้ 7.2%QoQ ในงวดนี้ และเร่งตัวขึ้นทำจุดสูงสุดของปีในไตรมาสที่ 4 รวมถึง MCS([email protected]) ที่ประกาศผลประกอบการในเช้านี้ มีกำไรสุทธิ 200.8 ล้านบาท (สูงกว่าคาด 3.2%) พร้อมกับจ่ายเงินปันผล 0.25 บาทต่อหุ้น XD วันที่ 21 พ.ย. 2562 เป็น Top Picks
ตลาดหุ้นโลกขึ้นต่อตอบรับ......สหรัฐ-จีนจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้า
เม็ดเงินยังไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง เห็นได้จากตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อวานนี้ยังคงปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ Dow jones และ S&P 500 จะทำจุดสูงสุด All time High อีกครั้ง เช่นเดียวกับ SET Index ฟื้นตัวแรงจากจุดต่ำสุด ณ. 28 ต.ค. 2562 ที่ 1579.13 จุด ขึ้นมาอย่างรวดเร็วกว่า 61 จุด ภายใน 9 วันทำการ อยู่ที่ 1640 จุด
หลักๆ เป็นผลจากความคาดหวังเชิงบวก หลังจากบ่ายเมื่อวานนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า สหรัฐและจีนเห็นตรงกันว่า การเจรจาการค้าเป็นไปได้ด้วยดี และต้องการจะทยอยยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าอัตราเฉลี่ย 25% ที่ดำเนินมารวม 4 รอบตั้งแต่กลางปี 2561 (คือจะค่อยๆยกเลิกเป็นรอบๆ ) ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของฝั่งรัฐบาลสหรัฐที่มีออกมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ว่าจะยกเลิกเก็บภาษีนำเข้ากับจีน (สหรัฐเผยว่าจะยกเลิกรอบ 4.1 ก่อน) โดยทั้ง 2 ฝั่งจะเริ่มเป็นรูปธรรมจะต้องไปเซ็นสัญญาสงบศึกทางการค้าเฟส 1 การประชุม NATO ที่กรุง London ในวันที่ 3 ธ.ค.62
ระยะสั้น (+) เชื่อว่าเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นโลกในช่วงนี้ ซึ่ง ASPS ให้น้ำหนักไปที่การประชุม NATO จะมีการเซ็นสัญญาจริงหรือไม่ กล่าวคือ หากเซ็นสัญญาสงบศึกเฟส 1 และมีการยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าจริง ASPS เชื่อว่าจะสัญญาณที่บวกต่อเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในปี 2563
สหรัฐคาดว่าจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้ากับจีนรอบที่ 1 และ 4.1
สัปดาห์หน้าประเด็นที่ให้น้ำหนัก หลังจากผ่านพ้นการประชุมธนาคารกลางสำคัญ กลับมาให้น้ำหนักการรายงานดัชนีช้ำเศรษฐกิจหลัก (ดังตาราง) อาทิ
13 พ.ย. รายงานอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ เดือน ต.ค. คาดทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.7%yoy และในวันเดียวกันให้น้ำหนักการกล่าวสุนทรพจน์ของนาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ต่อสภาคองเกรส คือ ประธาน Fed จะมีการส่งสัญญาณนโยบายการเงินในอนาคตอย่างไร หลังจากการประชุม Fed ครั้งล่าสุด Fed ได้ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปี 2563
14 พ.ย. ให้น้ำหนักการรายงานดัชนีเศรษฐกิจของจีน ได้แก่ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) เดือน ต.ค. และยอดค้าปลีก (Retail Sale) เดือนเดียวกัน โดยตลาดคาดว่าจะขยายตัวราว 5.4%yoy และ 7.9%yoy ตามลำดับ ซึ่งหากดัชนีเศรษฐกิจดังกล่าวออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด เชื่อว่าจะมีโอกาสเป็น Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นได้
แบงค์พาณิชย์...ทยอยปรับลดดอกเบี้ยตาม กนง.
วานนี้ SCB นำร่องประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.25% จากเดิม 7.12% มาอยู่ที่ 6.87% (ครั้งก่อนปรับทั้ง MRR และ MOR) เป็นไปในทิศทางเดียวกับ มติ กนง. วานนี้ วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย และ SME รวมถึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลงในอัตราเดียวกัน (ปัจจุบันเงินฝากประจำ 3 เดือนอยู่ที่ 0.9% - 1.15%, ฝากประจำ 6 เดือนที่ 1.15% - 1.4%, 12 เดือนอยู่ที่ 1.4% – 1.65% และ 24 เดือนที่ 1.45% - 1.7%) มีผลตั้งแต่ 8 พ.ย.62
ฝ่ายวิจัยคาดการลดอัตราดอกเบี้ย MRR จะกดดันรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิทันที ในส่วนของกลุ่มลูกค้า SME (16% ของสินเชื่อรวม) และสินเชื่อรายย่อย ได้แก่ สินเชื่อเคหะ (เฉพาะกลุ่มที่พ้นช่วง teaser rate) ขณะที่การลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ (สัดส่วนราว 30% ของเงินฝาก) ลง 0.25% ประเมินช่วยลดผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อในระยะถัดไป ตามอายุสัญญาเงินฝากที่จะทยอยครบกำหนด รวมถึงเงินฝากประจำใหม่ที่จะถูกปรับลง โดยข้อมูลโครงสร้างเงินฝากประจำ (สัดส่วนราว 30% ของเงินฝาก SCB) ณ สิ้น 3Q62 เป็นเงินฝากประจำที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 52% และอายุสัญญา 1 ปีขึ้นไป ราว 48% ของเงินฝากประจำ
สภาวะดังกล่าวฝ่ายวิจัยประเมินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อและเงินฝากครั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานอื่นคงเดิม จะทำให้ NIM ต่ำลงจากที่คาดไว้ 3.08% ราว 5 bp มาอยู่ที่ 3.03% และคาดการณ์ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2563 ลดลงจากประมาณการราว 3% เบื้องต้นยังคงประมาณการกำไรปี 2563 ที่ 40,711 ล้านบาท (-6% yoy)
SCB อิง PBV 1.07 เท่า ตามวิธี GGM ที่ ROE ระยะยาว 10.4% ได้ FV ปี 2563 ที่ 132 บาท ด้านราคาหุ้นนับตั้งแต่ต้นปีปรับตัวลดลง 11% ตอบรับความกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ ไปพอสมควร จน PBV ซื้อขายที่ 0.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 1.6 เท่า และต่ำกว่าปี 2552 ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับเดียวกัน มี PBV เฉลี่ยอยู่ที่ 1.85 เท่า ประกอบกับคาดหมาย Div Yield ปี 2563 ราว 5% ต่อปี จึงคงแนะนำซื้อ สำหรับลงทุนระยะกลาง – ยาว เพื่อรอรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรอบใหม่
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่า ธ.พ.อื่นๆ น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามมา ในลักษณะคล้ายกันกับ SCB โดยในกรณีที่ ธ.พ. อื่น ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากประจำลง ในอัตราเดียวกับ SCB ประเมินส่งผลให้กำไรสุทธิกลุ่มฯ ต่ำลงจากประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มฯ ปี 2563 ที่ 200,765 ล้านบาท ราว 3% เช่นเดียวกัน
ดัชนี CCI ไทย ต.ค. ต่ำสุด 5 ปี 5 เดือน เลือกหุ้นที่มีปัจจุยหนุน CPALL BJC MAJOR
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) เดือน ต.ค.62 ลดลงเป็นเดือนที่ 8 อยู่ที่ 70.7 จุด ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี 5 เดือน หลักๆเป็น ผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอลง หลักๆ คือ ส่งออกที่ชะลอ, การจ้างงานลดลง, ราคาสินค้าเกษตรต่ำ และหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดย CCI เป็นดัชนีชี้นำยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในช่วง 3-6 เดือน ถัดไป เชื่อว่าเริ่มเห็นความเสี่ยงต่อ SSSG กลุ่มค้าปลีก-ค้าส่งที่มากขึ้นในช่วงถัดไป สะท้อนจาก SSSG ในงวด 3Q62 ชะลอตัวลง ซึ่งจะกดดันต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีกระยะสั้น
อย่างไรก็ตามในงวด 4Q62 คาดว่าจะมีปัจจัยหนุนการบริโภค จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ชิมช็อปใช้เฟส 1&2 และอาจจะมีรอบที่ 3 , บัตรสวัสดิการกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว 100 บาท เที่ยวทั่วไทย เป็นต้น โดยคำแนะของกลุ่มค้าปลีก คือ เท่าตลาด” โดยยังเน้นหุ้นที่มีแรงขับเคลื่อนเฉพาะตัวและฐานธุรกิจที่มั่นคง CPALL (FV’63@B100) และ BJC (FV@B61) เป็น Top picks ของกลุ่ม
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ(ชิม ช้อป ใช้) ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อรายได้ของ MAJOR (FV@B 33.00) ใน 4Q62 คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีและมีผู้มาใช้สิทธิ์จำนวนมาก เนื่องจากสาขาที่ร่วมรายการมีครอบคลุมทั่วกรุงเทพ และมีหนังไทยและเทศที่น่าสนใจมากมายในช่วงเวลาใช้สิทธิ เช่น The Joker, Maleficent 2, Terminator, Frozen 2 ส่วนหนังไทยที่น่าสนใจ ได้แก่ ขุนแผนฟ้าฟื้น (นำแสดงโดย มาริโอ้ เมาเร่อ) , ไบท์แมน 2 และบอดี้การ์ดหน้าหัก
ขณะที่ระยะสั้นวันนี้ยังมีลุ้นกับการรายงานผลประกอบการงวด 3Q62 คาดจะเติบโตก้าวกระโดด 145%yoy มาอยู่ที่ 505 ล้านบาท นอกจากจากหน้าหนังที่ดีกว่าปีก่อน ยังหนุนด้วยรายได้จากการขายเครื่องดื่มและป๊อปคอร์น รายได้จากโฆษณา และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ รวมทั้งปรับรูปแบบการขายผ่านเอเจนซี่มากขึ้น ราคาหุ้นมี upside กว่า 34.7% อีกทั้งยังซื้อขายบน PER62F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลัง-1S.D พร้อมคาดหวังเงินปันผลกว่า 5% p.a. จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุน
MSCI Play : เลือกหุ้นถูกเข้าคำนวณ และมี Upside ชอบ STPI, CENTEL
เช้านี้ทาง MSCI ได้มีการปรับพอร์ต (Rebalance) รอบ พ.ย.62 มีผลบังคับใช้ราคาปิดวันที่ 26 พ.ย. 62 โดยมีการปรับเพิ่มน้ำหนัก 5% ของ China A-Share (204 บริษัท) ลงในดัชนี MSCI Emerging Market ส่งผลให้ล่าสุดตลาดหุ้นจีน China A Share มีสัดส่วน 4.1% ของดัชนี MSCI Emerging Market หรือ 20% ของหุ้น China A Share ทั้งหมด (ดังตารางด้านล่าง)
โดยคาดว่ากดดันให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสถูกเบียดให้มีสัดส่วนลดลง และ Fund Flow มีโอกาสสะดุดจากประเด็นดังกล่าว ส่วนตลาดหุ้นไทย ทาง MSCI มีการปรับหุ้นใหม่เข้าคำนวณถึง 11 บริษัท โดยแบ่งเป็น 4 บริษัท ถูกเพิ่มในดัชนี MSCI Global Standard และ 7 บริษัทถูกเพิ่มในดัชนี MSCI Mid Small Cap แต่มีหุ้น 3 บริษัท ถูกคัดออกจากดัชนี MSCI Mid Small Cap มีรายละเอียดดังนี้
การเก็งกำไรในธีม MSCI Play ปกติแล้วจะฝ่ายวิจัยฯจะแนะนำให้ “ซื้อวันที่ประกาศ” และ “ขายวันที่เข้าคำนวณ” เนื่องจากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ราคาหุ้นที่ถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ประกาศจนถึงวันที่มีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณ ดัชนี MSCI Global Standard ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5-6% และมีความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกราว 86% ขณะที่หุ้นคัดเลือกเข้าคำนวณ ดัชนี MSCI Global Small Cap ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 2-3% และมีความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกราว 60% แต่อย่างไรก็ตามราคาจะค่อยๆ ลดลงหลังจากถูกนำเข้าคำนวณดัชนีแล้ว ขณะที่หุ้นถูกคัดออกมีโอกาสปรับตัวลดลงแรงก่อนวันเข้าคำนวณ จึงแนะนำหลีกเลี่ยงไปก่อน
อย่างไรก็ตามปัจจุบันกระแสการลงทุนตาม Index Play ทั้งดัชนี MSCI, FTSE, SET50 และ SET100 ได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดการเก็งกำไรล่วงหน้าก่อนวันประกาศ แต่พอ MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นเหล่านั้นออกมา ทำให้มีการขายทำกำไรออกมาบางส่วน และผลตอบแทนที่คาดหวังอาจน้อยกว่าสถิติในอดีต สังเกตได้จากหุ้นหลายบริษัทในรอบที่ผ่านมา แม้จะถูกคัดเข้าดัชนี MSCI Global Standard ก็ตาม แต่ถูกขายทำกำไรแรงหลังประกาศจนถึงวันบังคับใช้ เช่น DTAC ลดลงหลังประกาศจนถึงวันบังคับใช้ -8.2%, INTUCH -3.8% และ RATCH -3.8% ขณะที่หุ้นที่ถูกคัดเข้า MSCI Global Small Cap ในรอบที่แล้วปรับตัวขึ้นได้โดดเด่นกว่าสถิติในอดีต เนื่องจากไม่มีการถูกเก็งกำไรมาก่อน บวกกัยนักลงทุนให้ความสนใจประเด็นนี้มากขึ้น เช่น TASCO เพิ่มขึ้นหลังประกาศจนถึงวันบังคับใช้ 7.8%, PSH 6.9% เป็นต้น ขณะที่ SET Index -1.26%
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนในหุ้นที่มี Valuation เด่น, Upside สูง และยังถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI เหนือความคาดหมายของตลาดฯ อย่าง STPI , CENTEL และ TPIPP
Top Pick เลือก STPI (FV@B 8.30) วันนี้ ด้วย 3 ปัจจัยหนุน คือ 1) เป็นหุ้นที่ได้เข้าคำนวณในดัชนี MSCI ดังกล่าวข้างต้น 2) งวด 3Q62จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ราว 500-600 ล้านบาท จากการได้รับเงินชดแชยจากคดีความในต่างประเทศ 715 ล้านบาท และ3) ราคาน้ำมันที่สามารถยืนเหนือ 60 เหรียญฯ/บาร์เรล ทำให้บริษัทในธุรกิจพลังงานกลับมาพิจารณาลงทุนมากขึ้นจากที่ชะลอการลงทุนมาหลายปีก่อนหน้า ปัจจุบันมีโครงการที่ STPI เข้าไปร่วมประมูล มูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท โดยงาน High potential ที่ STPI คาดหวังในช่วงสั้นๆ มี 4 โครงการ ประกอบด้วยงานโรงกลั่น 2 โครงการ และ LNG Module 2 โครงการ ซึ่งโครงการของไทยออยล์ น่าจะรู้ผลเร็วที่สุดในปีนี้ โดยที่ STPI เข้าไป Bid ทั้งหมด 9 packages มูลค่า 8-9 พันล้านบาท คาดว่าจะได้รับงาน 2-3 พันล้านบาท ส่วนโครงการอื่นๆน่าจะรู้ผล 1Q63 เป็นต้นไป ขณะที่ราคาหุ้นผ่านการปรับฐานลงมาแรง จน Upside เปิดกว้าง 35% จึงเป็นโอกาสเข้าซื้อเก็งกำไร
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ