WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

BLSบล.บัวหลวง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook   
          เมื่อวานดัชนีฯรีบาวด์ ในแนวโน้มขาลง (ต่อ) ตามคาด : หุ้นบวกนำตลาดได้แก่ HMPRO (งบ HMPRO ดีหนุน GLOBAL บวกตาม) SAWAD ADVANC และหุ้นกลาง เล็ก บวกเด่นกว่าตลาด PRM JMART SINGER "เท่าที่สังเกต ตลาดเลือกหุ้นเน้นเล่นกับ งบ 3Q19 ที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใกล้เคียงกัน" และ "หุ้นเล่นกับกระแส เช่นการลดดอกเบี้ยฯ อย่าง JMART SINGER SAWAD เป็นต้น" ส่วนหุ้นลบ ได้แก่ GPSC KBANK BGRIM EGCO RATCH เป็นต้น            
          วันนี้ ดัชนีฯ Sideways down ต่อ : กรอบ 1580-1599 จุด   
What to watch     
          (+) งบ 3Q : TPIPP รายงานกำไรสุทธิ 1.1 พันลบ. (3Q18 1 พันลบ.) COTTO กำไร 87 ลบ. (3Q18 จากขาดทุน -113 ลบ. จากค่าใช้จ่าย Early retired)    
          (-) แบงก์ เร่งเคลียร์หนี้เสีย : ต่อจากกรณี PACE บมจ. ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ ถูกแบงก์พาณิชย์แห่งหนึ่ง เรียกให้ชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย 1.04 พัน ลบ.ภายในสินเดือนนี้ / คาดข่าวหนี้เสียที่ธนาคารฯ เร่งรัด ปิดหนี้ ทั้งกรณี PACE และ TFI เราคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องติดตาม และ เชื่อว่ากระแสข่าวแบบนี้ จะส่งผลลบต่อราคาหุ้นธนาคารให้ Underperform ตลาด ต่อไป (Overhang เล่นไม่ขึ้น แม้ว่าหุ้นแบงก์จะถูกมาก)  
          (*/+) ประชุม ครม.เศรษฐกิจ 1 พย.นี้ : มีวาระเรื่อง มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME และ รถไฟฟ้าสายสีเขียว (เราคาดว่าจะเป็นประเด็นเรื่องการขยายอายุสัมปทาน แลกกับ ราคาค่าโดยสาร ซึ่งเรามีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นดังกล่าว...ด้วยมูลค่า DCF จากสัมปทานที่จะเพิ่มขึ้น)
          (+/-) คาด เฟด ลดดอกเบี้ย และสัปดาห์หน้า กนง.ลดตาม : ในระหว่างสัปดาห์นี้ปัจจัยดังกล่าว จะมีผลต่อความคาดหวังเชิงบวกหุ้นสินเชื่อบุคคล / และผลเชิงลบต่อกลุ่มธนาคาร
          การประชุม เฟด 30-31 ตค. คาดเฟดลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เหลือ 1.5-1.75% นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังว่าจะมีรายละเอียด เรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมตามรายงานประชุม เฟด เมื่อ 11 ตค.ที่ผ่านมาด้วย
          และประชุม กนง. 6 พย.คาด ลดดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 1.25%   
หุ้นแนะนำวันนี้
           BTS แนวรับ 13.3 แนวต้าน 14 Stop loss 13
          วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
          นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
          ธนัท พจน์เกษมสิน,นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
          นภนต์ ใจแสน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน  
รายงานวันนี้
BKER (IPO) ก้าวใหม่ที่มั่นคงและอัตราผลตอบแทนที่โดดเด่น
          จากการประเมินราคาด้วย Dividend Discount Model (DDM) เราได้ราคาเป้าหมาย 11.40 บาทต่อหน่วย คิดเป็นอัพไซด์ 14-20% จากราคาเพิ่มทุน 9.50-10.00 บาท
          หลังการจัดตั้ง กองทรัสต์นี้จะกลายเป็นกองทรัสต์รีเทลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไทย นับจากขนาดทรัพย์สิน และมีการกระจายความเสี่ยงหลายด้าน เช่น ทำเลที่ตั้งมีการลงทุนในโครงการมากถึง 10 โครงการในหลายย่านในกรุงเทพฯ , มีประเภทโครงการหลากหลายประเภท เช่น CDC ซึ่งเป็นห้างเฉพาะทาง รวมไปถึง lifestyle malls ขนาดต่างๆ และผู้เช่าประกอบกิจการหลากหลายประเภท ตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่ม ซูเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงของแต่งบ้าน
          เราคาดว่าอัตราผลตอบแทนต่อหน่วยมากถึง 7.71% ในปีแรกนับจากการเสนอขายครั้งนี้ (2020) ในด้านการเติบโตผู้จัดการกองทรัสต์วางเป้าเพิ่มโครงการในกองปีละ 3-5 โครงการ รวมๆ มีโครงการใน pipeline มากกว่า 37 โครงการ  โดยจะนำเงินมาจากสินเชื่อวงเงินรวมทั้งหมด 4,025 ล้านบาท และสามารถลงทุนในกิจการของโครงการที่ริเริ่มโดยผู้อื่นได้ด้วย
STEC   New norm of margin
          แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังที่น่าจะออกมาต่ำกว่าตลาดคาด และคาดจะเห็นตลาดปรับกำไรลงอีกราว 15%เราคาดกำไร 3Q19 ที่ 250 ล้านบาท ลดลง 34%YoY และ 7%QoQ (ซึ่งต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ราว 300-350 ล้านบาท) เราปรับกำไรปี 2019-20 ลง 22% และ 33% เป็น 1,053 และ 1,101 ล้านบาท จากมาร์จิ้นที่น้อยกว่าคาด เพราะเรามองว่างานใน Backlog ที่มีกว่าแสนล้าน จะมีมาร์จิ้นเฉลี่ยที่ต่ำกว่าในอดีต
          มุมมองพื้นฐาน: ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมารอที่ Valuation PBv ต่ำกว่า -2SD แล้ว (เท่าสมัยชุมนุมปี 2014) คาด downside ต่อจากนี้จะจำกัด แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 21 บาท
          มุมมองกลยุทธ์: ราคาหุ้น STEC คาดจะถูกกดดันไปอีกระยะหนึ่ง เพราะกำไรที่ไม่ดีและโครงการประมูลที่คาดจะเงียบในระยะสั้น ดังนั้นหากนักลงทุนที่ไม้ได้ขายตามที่กลุทธ์แนะนำในรอยที่แล้ว เรามองว่ารอบนี้หากหุ้นเด้งขึ้นมาจากราคาที่ลงมาลึกเป็นโอกาสในการขายออกมาก่อน
SPALI ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
          มาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่ออกมา ผู้บริหารมองว่าผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯเป็นไปในเชิงลบมากกว่า เนื่องจาก 1) ลูกค้าชะลอการโอนเพื่อรอมาตรการรัฐที่คาดว่าจะได้ปี 2020, 2) มาตรการไม่ได้ช่วยสร้าง demand upside และ 3) นโยบายการกู้ของธนาคารเข้มงวดขึ้นไปอีก อีกทั้งการส่งสัญญาณพลาดเป้าหมายธุรกิจปี 2019 ชัดเจน และภาวะตลาดอสังหาฯ ช่วงนี้นับว่าหนักหนาที่สุดในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
หุ้นมีข่าว  
TPIPP
          */+ TPIPP ยืนยันนโยบายปันผลงวดปี 62 ไม่น้อยกว่าปี 61 หลังกำไร 9 เดือนแรกปีนี้ โต 22.2% จากงวดปีก่อน   
          บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) มีมติยืนยันนโยบายการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2562 ของบริษัท ไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้พิจารณาผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อย สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 ซึ่งบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสำหรับงวดจำนวน 3,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 607 ล้านบาท หรือ 22.2% จากจำนวน 2,725 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปี 2561 ที่ผ่านมา (ที่มา อินโฟเควสท์)   
DEMCO
          + เผยกิจการร่วมค้า ได้งานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าเมืองเอก 2 จังหวัดปทุมธานี มูลค่า 270.50ลบ.
          DEMCO ในฐานะ Consortium of DEMCO Public Company Limited and RSS 2016 Limited (สัญญาค้าร่วม) ได้เซ็นสัญญาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าเมืองเอก 2 จ.ปทุมธานี กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มูลค่า 270.50 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 390 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้เข้าทำงาน งานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าเมืองเอก 2 จ.ปทุมธานี แบ่งเป็น DEMCO จำนวน 107,700, 151.29 บาท และ RSS 2016 จำนวน162,799,848.71 บาท (ที่มา ตลท.)
SAMART
          + กลุ่มสามารถปลื้มโกยรายได้ ICT เพียบ มีงานในมือแล้วกว่า 9 พันลบ. รอลุ้น อีก 1 หมื่น ลบ. (ที่มา ไทยโพสต์)
          SAMART มั่นใจรายได้ปีนี้ทำได้ใกล้เคียงเป้า 18,000 ล้านบาท เผย SAMTEL จ่อประมูลงานใหม่มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท คาดได้งาน 60-70% รอเซ็นสัญญาอีก 1,000 ล้านบาท ดันแบ็กล็อกสิ้นปีนี้พุ่ง 12,000 ล้านบาท พร้อมปัน SAV เข้า SET คาดเทรด มี.ค. 63 (ที่มาข่าวหุ้น)    
หุ้น ปศุสัตว์  
          - กมธ.จี้ อย.สร้างแล็บ ตรวจ พืช ผัก นำเข้า รับมือแบน 3 สารเคมี เริ่ม 1 ธค. (ที่มา มติชน)
Renewable    
          + ครม.สั่งลุยโซลาร์ลอยน้ำ GUNKUL-BGRIM ท้าชิง
          ครม.อนุมัติแล้ว! โครงการโซลาร์ลอยน้ำ เขื่อนสิรินธร ขนาด 45 เมกะวัตต์ วงเงินลงทุน 2.26 พันล้านบาท ให้งบกลางเบิกจ่าย 643 ล้านบาท ก่อสร้าง 8 เดือนเสร็จ เบื้องต้นมีบริษัทผ่านคุณสมบัติเทคนิคกว่า 20 บริษัท บจ.ยักษ์ใหญ่ GUNKUL-BGRIM-GPSC-BCPG-SPCG ร่วมชิง เปิดซองประมูลราคา 7 พฤศจิกายนนี้ (ที่มา ทันหุ้น)
Trend Forecasting
SET Index ปิด 1,591.21 (-0.33%) มูลค่าการซื้อขาย 5.7 หมื่นล้านบาท
แนวโนมระยะสั้นมอง
          SET Index แนวรับ 1,580 แนวต้าน 1,595/ SET100 รับ 2,325 ต้าน 2,350 BSET100 รับ 10.15 ต้าน 10.25 / BMSCITH รับ 11.47 ต้าน 11.58
หัวข้อ: ทำไมแนวรับ 1600 กลับกลายเป็นต้าน....
กลยุทธ์เทคนิค:
          ดัชนีขึ้นเช้าลงบ่าย ติดต้านสำคัญ 1600 จุด แต่ทำไมครั้งที่แล้วยังมอง 1600 จุดเป็นแนวรับปัจจุบันเปลี่ยนเป็นต้าน...ก็เพราะดัชนีไม่สามารถยืนได้หลุดแนวรับนั่นเอง ทำให้สถานการณ์พลิกผันทันที แนวรับกลับกลายเป็นต้าน ผลลัพธ์คือชนปุ๊บลงทันที นอกจากนี้ MACD < 0 ยืนยันทิศทางขาลง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลงกันทั้งตลาด กลับพบว่ามีกลุ่มอุตสาหกรรมเด่น สัญญาณกลับตัวขึ้นดี นอกจากนี้ยังจะขอพูดถึงสิ่งที่นักลงทุนถามกันเยอะเรื่องค่าเงินบาทแนวโน้มจะแข็งค่าต่อไป หรือ กำลังกลับตัว....... อ่านเพิ่มเติมและหาคำตอบในมุมมองทางเทคนิคด้านล่างได้เลยครับ...
มุมมองทางเทคนิค:
          กลุ่มอุตสาหกรรมเด่นระยะนี้ค่อนข้างหายากเนื่องจากโครงสร้างตลาดไม่สู้ดี แต่ก็พบจนได้ คือ กลุ่มโรงพยาบาลนั่นเอง จุดเด่นคือกลุ่มที่มักปรับตัวได้ดีในเวลาตลาดเป็นขาลง ปัจจุบันโครงสร้างดัชนีมาถึงจุดกลับตัวเมื่อลงมาแตะจุดต่ำสุดปี 2017 นอกจากนี้ RSI  รายสัปดาห์ตัดเส้น Signal line ขึ้นและเป็นเหตุผลที่หุ้นแนะนำพอร์ตเทคนิคมีหุ้นโรงพยาบาลถึง 2 ตัว (BDMS, BCH) ส่วนประเด็นค่าเงินบาทแข็งค่ามากๆถึง 30 บาทต้นๆ กลับพบสัญญาณ Divergence บ่งชี้อยู่ในช่วงปลายทาง ดังนั้นโอกาสที่บาทจะแข็งต่อไปเรื่อยๆน่าจะยาก หรือหลุด 30 ก็ไม่ไกล......  
วิธีการเลือกหุ้น:
          โครงสร้างตลาดเกิดความเสี่ยงหลังจากหลุด Low 1600 จุด แนะใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับภาวะขาลง ได้แก่ EMA, Stochastic, MACD, , Price pattern
          *Overbought&Divergence* Utility sector
โมเดลพอร์ตทางเทคนิค:
          สรุปผลตอบแทนการลงทุน Year to date +8.34% สูงกว่าตลาดที่ +2.08%  
          *Addition(หุ้นเพิ่ม): --ไม่มี--
          *Deletion(หุ้นออก): --ไม่มี-- หุ้นคงเหลือ:  MTC, AOT, JMART, DTAC, MAJOR, TQM, TACC, JAS, BCH, BEM, BDMS    
          ธนรัตน์ อิศรกุลนักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์และปัจจัยทางเทคนิค                                            
          [email protected] +662-618-1334
Track with Technical: "เล่นขาลง Short หุ้น (or) Put DW"
          EGCO  
          แนวโน้ม Bear EMA+RSI
          รับ 350.00
          ต้าน 365.00
          เหตุผล สัญญาณลบจากเส้นค่าเฉลี่ย EMA และ RSI น่าจะทำให้หุ้นปรับฐานหรืออาจลงแรงหากหลุด 360 บ. (25-daysEMA)  
          EA แนวโน้ม หลุดแนวรับใหญ่
          รับ 41.00
          ต้าน 47.00
          เหตุผล หลุดแนวรับสำคัญความเสี่ยงราคาอาจลงแรง นอกจากนี้ MACD ยืนยันโครงสร้างขาลง
          HANA แนวโน้มลงยาว
          รับ 21.00
          ต้าน 25.00
          เหตุผล โครงสร้างขาลง ทำให้ราคามีโอกาสลงทำจุดต่ำสุดใหม่ อาจลงไปได้ถึงจุดที่หุ้นเคยสะสมมากในอดีตเมื่อปี 2012-2013

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!