- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 15 October 2019 16:53
- Hits: 873
บล.เออีซี : Daily Focus
AECS Daily Focus
--------------
Market Outlook
• วันนี้คาด SET Index รีบาวด์แนวต้าน 1,640 และ 1,650 จุดตามลำดับ หลังมีความคืบหน้าการเจรจาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บวกกับปัจจัยในประเทศได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และภาคการท่องเที่ยวต่อเนื่อง
• Market Factor
• (+) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าในขั้นแรก โดยมีข้อตกลงในด้านทรัพย์สินทางปัญญา การบริหารทางการเงิน นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงให้จีนซื้อสินค้าเกษตรจากทางสหรัฐฯ 4-5 หมื่นล้านดอลลาร์และให้สหรัฐฯเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ที่มีกำหนดขึ้นภาษีจาก 25% เป็น 30% ในวันที่ 15 ต.ค. 62
• (+) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขยายระยะเวลาอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินสหรัฐฯ ในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (Repo) อย่างน้องถึงเดือน ม.ค. 63 หลังจากก่อนหน้านี้กำหนดถึงวันที่ 4 พ.ย. 62 บวกกับจะทำการซื้อพันธบัตรระยะสั้นอย่างน้อยถึงช่วง 2Q63
• (watch) การเจรจา Brexit ระหว่างอังกฤษและยุโรปยังไม่มีความคืบหน้า โดยใกล้ถึงกำหนดเส้นตาย Brexit วันที่ 31 ต.ค. 62 และมีโอกาสที่จะเกิด No-deal Brexit ได้ อย่างไรก็ดีจับตาการประชุม EU Summit ในวันที่ 17-18 ต.ค. 62 ซึ่งมีหัวข้อ Brexit อยู่ในกำหนดการประชุม
• (+) ครม.เศรษฐกิจ เตรียมเสนอมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อเนื่อง หลังเข้าสู่ช่วง High Season โดยวางเป้าหมายมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยที่ระดับ 39.8 ล้านคน สร้างรายได้ราว 2.04 ล้านล้านบาท โดยเตรียมเสนอทั้งมาตรการกระตุ้นทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว ต่อที่ประชุมครม.เพื่ออนุมัติในวันที่ 15 ต.ค. นี้ (กรุงเทพธุรกิจ)
• (+) กลุ่มซีพี และพันธมิตร (CPH) ผู้ชนะประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินวงเงิน 2.2 แสนล้านบาท พร้อมที่จะลงนามสัญญาโครงการดังกล่าวในวันที่ 25 ต.ค. นี้ (โพสต์ทูเดย์)
• Consensus ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 62 ที่ 115.13 บาท ขณะที่ปัจจุบันเหลือเพียง 98.78บาท หรือลดลง 14.20%YTD
• Update Flow เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติพลิกซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 214.99 ลบ.ส่งผลภาพรวมMTD.ต่างชาติขายสุทธิลดเหลือ 3,848.4 ลบ.
Investment Strategy
• สัปดาห์นี้ เรากลับมามีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดมากขึ้น จากประเด็น Trade war สหรัฐฯ-จีนที่มีสัญญาณที่ดีขึ้น บวกกับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวจาก ครม.เศรษฐกิจที่ออกมา คาดหนุนตลาดในสัปดาห์นี้แกว่งในกรอบ 1,620-1,660 จุด แม้เรามองเป็นสัญญาณรีบาวด์ในตลาด แต่อย่างไรก็ดี เรายังคงแนะนำนักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนและทยอยลงทุนในหุ้น 5 กลุ่ม ดังนี้
• หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.ของรัฐฯทั้งมาตรการท่องเที่ยว, ชิมช้อปใช้และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ BJC (ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัวHoH จากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigC ราว 200 สาขา), SEAFCO (แม้ช่วง 2H62 คาดรับรู้งานลดลง แต่ยังมี Backlog 2.3 พัน ลบ. คาด Secured Revenue 100% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บวกกับยังมี Upside Risk จากงานประมูลใหม่อีก 1.9 หมื่น ลบ.), ERW (ช่วง 2H62 หลังคาดฟื้นตัวจากปัจจัยฤดูกาล บวกกับการกลับมาเปิดโรงแรมใหม่ 9 แห่ง อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจาก ครม.และมีสัญญาณฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีน หลังจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดือน ส.ค. โต 15.6%YoY)
• กลุ่ม Defensive Stock: เราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (ช่วง 2H62 คาดกำไรสุทธิมีแนวโน้มโตต่อ หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถ มินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.
• กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสม โดยเน้นหุ้นที่กำไรช่วง 2Q62 คาดโต YoY และช่วง 2H62 โตต่อ แนะนำ SAWAD (คาดกำไรปี62 โต 30.8%YoY หนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต 20-30% และอีก 300 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นโดยล่าสุด SAWAD รายงานการถือครองหุ้น BFIT หลัง Tender Offer ที่ 82.04% บวกกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร), SELIC (คาดปี 62 เห็นการ Turnaround ของกำไรหลังเริ่มรวมงบการเงินกับ PMCT ซึ่งคาดเห็น Synergy ชัดเจนขึ้นจากการพัฒนาสินค้าใหม่และการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่), III (ช่วง 2Q62 กำไรโต 45.8%YoY หนุนด้วยธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ บวกกับมีส่วนแบ่งกำไรที่โต 364%YoY จากธุรกิจที่เข้าซื้อกิจการสิงคโปร์และฮ่องกงในปี 61-62 ตามลำดับ), ARROW (ช่วง 2H62 คาดกำไรฟื้นตัวหลังมาร์จิ้นเหล็กดีขึ้นตามต้นทุนเหล็กที่ลดลงและราคาขายที่ดี คาดหนุนกำไรทั้งปีโต 10.3%YoY บวกกับมี Backlog 1.1 พัน ลบ. และมีโอกาสได้งานใหม่ๆ เพิ่ม)
• หุ้นกลุ่ม ร.พ.ขนาดกลางที่คาดกำไรช่วง 3Q62 โตเด่น เข้าสู่ High Season: BCH (ช่วง3Q62 คาดกำไรโตทั้ง QoQ YoY หนุนด้วยการเข้าสู่ช่วง High Season บวกกับการบันทึกรายได้ส่วนเพิ่มของภาระเสี่ยงขณะที่ผู้ป่วยตะวันออกกลางคาดกลับมาฟื้นตัวหลังมีการเพิ่มชม.การทำงานของแพทย์ด้านเบาหวาน, CHG (ช่วง 2H62 คาดกำไรโตYoY หนุนด้วยสัญญาณฟื้นตัวจากรพ.ที่เพิ่งเปิดใหม่ทั้ง รพ.จุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ และ รพ.รวมแพทย์ฉะเชิงเทราบวกกับอาจมีการขอเพิ่มสัดส่วนโควต้าประกันสังคมหลังมีผู้ประกันตนราว432,640คน (จากโควต้า440,000 คน)
• หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการ IMO2020 : TOP (แม้คาดกำไรช่วง 3Q62 จะอ่อนตัว QoQ จากการปิดซ่อมโรงงาน แต่คาดฟื้นกลับมาในช่วง 4Q62 หลังโรงงานที่ปิดซ่อมกลับมาผลิตดำเนินการ บวกกับค่าการกลั่นที่ดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูหนาวปลายปี)
11-Oct-19 Change (pts.) 10-Oct-19
SET Index 1,626.00 18.50 1,607.50
SET50 Index 1,083.77 16.23 1,067.54
SET100 Index 2,387.18 33.20 2,353.98
High 1,627.26 Gainers 902
Low 1,613.08 Unchanged 449
Value (Bt m) 61,609.96 Losers 638
Volume (*000) 20,078,117
Market Valuation
SET Data 2019F 2020F Long Term
Fwd PER (x) 16.5 14.8 14.8
EPS Growth (%) 13.9 9.3 -1.5
EV/EBITDA (x) 0.0 0.0 0.0
FWD PBV (x) 1.8 1.7 1.6
Dividend Yield (%) 3.1 3.4 3.7
ROE 10.5 10.8 10.8
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 11-Oct-19 WTD MTD YTD
Institution 5,545.49 3,328.93 (3,403.11) 20,851.95
Proprietary (1,743.92) (1,976.88) (1,067.74) 12,428.44
Foreign 214.99 1,619.70 (3,848.42) (9,077.27)
Individual (4,016.56) (2,971.74) 8,319.26 (24,203.12)
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary