- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 08 October 2019 13:08
- Hits: 1485
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2562
ความสนใจของนักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ที่ การเจรจาการค้า สหรัฐฯ-จีน ซึ่งสถานการณ์ยังประเมินได้ยาก หลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำ 8 บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของจีน ส่วนภายในประเทศเห็นสัญญาณเชิงบวกจากการที่ ครม. ให้ความเห็นชอบร่างงบประมาณปี 2563 แต่ไม่น่าจะมีน้ำหนักต่อทิศทางของ SET Index มากนัก กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ยังคงพอร์ตการลงทุนไว้ตามเดิม และ Top Picks ยังคงเป็น JWD ([email protected]) และ MAJOR (FV@B 33)
SET Index 1,613.71
เปลี่ยนแปลง (จุด) 7.75
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 39,911
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …เปิดกระโดดกว่า 5 จุดก่อนจะแกว่งผันผวนตลอดวัน
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยเปิดกระโดดกว่า 5 จุดก่อนจะแกว่งผันผวนตลอดวัน จากความคาดหวังที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงที่เหลือของปี จนสุดท้ายปิดที่ระดับ 1613.71 จุด เพิ่มขึ้น 7.75 จุด (+0.48%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 3.99 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่หนุนตลาดหลักๆ คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ BANPU(+5.00%) GPSC(+4.96%) GULF(+0.64%) PTT(+0.55%) กลุ่มธ.พ.ช่น BBL(+1.21%) KBANK(+2.02%) SCB(+1.32%) และกลุ่มขนส่งเช่น AOT(+1.02%) BEM(+1.89%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่บางตัวเช่น IVL(+3.23%) CPF(+1.94%) และ HMPRO(+1.81%) เป็นต้น
เมื่อเข้าใกล้กำหนดการเจรจาการค้า สหรัฐฯ-จีน ประเด็นเรื่องสงครามการค้าก็กลับมามีอิทธิพลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอีกครั้ง สถานะปัจจุบันแม้จะถูกคาดหวังผลในเชิงบวกจากการเจรจา แต่ล่าสุด สหรัฐฯ กลับมีการประกาศขึ้นบัญชีดำ 8 บริษัท ที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีของจีน จากสาเหตุที่ถูกกล่าวหาว่าดำเนินธุรกิจโดยละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องติดตามดูต่อไปว่าการตัดสินใจดังกล่าวของสหรัฐฯ จะส่งผลอย่างไรต่อการเจรจาการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนประเด็นในประเทศ ความสนใจอยู่ที่เรื่องความคืบหน้าในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2563 ซึ่งล่าสุด ครม. ได้ให้ความเห็นชอบไปแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และจะนำไปเข้าสู่การพิจารณาวาระที่ 1 (รับหลักการ) ของสภาผู้แทนราษฎร์ ในช่วงวันที่ 17 ตุลาคม 2562 และหากทุกอย่างเดินตามกำหนด การเบิกจ่ายงบประมาณก็น่าจะทำได้ราว ต้นเดือน ก.พ.2563 ซึ่งน่าจะช่วยทำให้การเดินหน้าดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถทำได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนประเด็นหุ้นรายบริษัทวันนี้ที่โดดเด่นได้แก่ SCC ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าผลประกอบการในงวด 3Q62 จะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากธุรกิจปิโตรเคมี และน่าจะอยู่ในฐานที่ต่ำต่อเนื่องในอีกหลายไตรมาส สถานการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การปรับลดประมาณการในลำดับต่อไป ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำให้ Switch ออกไปตามเดิม สำหรับทิศทางของ SET Index วันนี้ น่าจะแก่วงตัวในกรอบ 1600 – 1620 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุน ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน โดยยังคงคงพอร์ตการลงทุนไว้ตามเดิม ส่วนหุ้น Top Pick เลือก JWD และ MAJOR ตามเดิม
สหรัฐ-จีนเริ่มเจรจาการค้าระดับเจ้าหน้าที่ แต่สหรัฐยังประกาศขึ้นบัญชีดำ 8 บริษัท Tech จีน
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าระหว่างกันแล้ว 4 รอบ และอาจจะมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไป แม้ว่าล่าสุด ทั้ง 2 ประเทศจะมีกำหนดเจรจาการค้ากันที่กรุง Washington, DC ในระหว่างวันที่ 10-11 ต.ค. 2562 นี้ ซึ่งจะเป็นการเจรจาระดับรัฐมนตรี ขณะที่การเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ได้เริ่มขึ้นราวช่วงต้นสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม สหรัฐกลับยังเดินหน้ากีดกันทางการค้ากับจีนต่อไป ผ่านการขึ้นบัญชีดำ (Black List) บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีน โดยแหล่งข่าวจาก Bloomberg ระบุว่า สหรัฐประกาศรายชื่อบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีนที่ถูกขึ้น Black List ซึ่งห้ามบริษัทสหรัฐทำธุรกิจด้วยรวม 8 บริษัท อาทิเช่น Hikvision (ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดรายใหญ่), Dahua Technology (ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดรายใหญ่, Sense Time (ผู้พัฒนาระบบ AI), IFLYTEK (ผู้พัฒนาซอฟแวร์จำแนกเสียงพูด), Megvii Technology (ผู้พัฒนาระบบจดจำใบหน้า), Yitu Technologies (ผู้พัฒนาระบบ AI) เป็นต้น เนื่องจากสหรัฐมองว่าบริษัทดังกล่าวมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ท่าทีล่าสุดของสหรัฐ อาจนำความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนกลับมาอีกครั้งหนึ่งได้ สอดคล้องกับมุมมองล่าสุดของ IMF และ World Bank ที่มองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงอยู่ เนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้า และความไม่แน่นอนของ Brexit ซึ่งอาจนำมาสู่การปรับประมาณการ GDP Growth โลกลงได้ ทั้งนี้ IMF และ World Bank จะมีกำหนดประชุมร่วมกันในระหว่างวันที่ 14-19 ต.ค. 2562 ซึ่งคาดว่าจะมีการแถลงข่าวปรับประมาณ GDP Growth โลกในวันที่ 15 ต.ค. 2562
ครม.ผ่านร่างงบประมาณปี 63 รอพิจารณาวาระแรก 17 ต.ค. บวกต่อหุ้นรับเหมา
วานนี้ ครม.ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท (วงเงินเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้า) และขาดดุลงบฯวงเงิน 4.69 แสนล้านบาท โดย แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ (อาทิ เงินเดือนข้าราชการ) ราว 78.4%ของงบประมาณทั้งหมด และรายจ่ายลงทุนราว 21.6% ดังรูป
อีกฝั่งหนึ่งของงบประมาณหากแบ่งตามกระทรวง คือ งบกลาง อาทิ เงินช่วยเหลือข้าราชการ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ค่าใช้จ่ายเฉพาะเรื่องตามนโยบาย ราว16.1%ของงบประมาณทั้งหมด รองลงมาคือ กระทรวงศึกษาธิการราว 11.5%, กระทรวงมหาดไทย 11%, กระทรวงคลัง 7.8% เป็นต้น
งบประมาณรายจ่ายประจำปี
ที่มา: ศูนย์ปฎิบัติการกระทรวงการคลัง, ASPS รวบรวม
ASPS ให้น้ำหนักมากกว่าไปที่การพิจารณางบประมาณวาระแรก คือ 17 ต.ค. 2562 และวาระที่ 2-3 คือ เดือน ม.ค.2563 และหากกระบวนการไม่ติดขัด คือ จะเริ่มเบิกจ่ายอย่างเร็วสุดต้นเดือน ก.พ. 2563 (ดังรูป) ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นการเดินหน้าโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็คขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นการสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นรับเหมาก่อสร้าง
Time line กระบวนการพิจารณางบประมาณปี 2563
SCC ธุรกิจไม่สดใส แนะนำชะลอลงทุน
ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ผลประกอบการ 3Q62 ของ SCC ว่าจะออกมาไม่สดใส โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่ได้รับปัจจัยลบหลายเรื่อง ทั้ง Demand ที่ชะลอตัวจากปัญหาสงครามการค้า เงินบาทที่แข็งค่ากระทบรายได้ส่งออก Spread HDPE-Naphtha ที่ร่วงลงต่ำสุดในรอบ 7 ปี เหลือเพียง 456 เหรียญฯ/ตัน รวมไปถึงการหยุดซ่อมบำรุงของบริษัทร่วมในอินโดนีเซีย ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้รับผลจากปัญหาน้ำท่วมหลายพื้นที่และความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างในภาค Residential ที่ลดลง มีเพียงธุรกิจ Packaging ที่คาดกำไรยังเติบโตได้ จากการทำงบการเงินรวมกับ Fajar ซึ่ง SCC ซื้อหุ้น 55% ในเดือน มิ.ย. 62 โดยประเมินกำไรสุทธิงวด 3Q62 ไว้ที่ 7,611 ล้านบาท ลดลง 20%YoY
ทั้งนี้แนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 2562 ที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยเฉพาะ Spread ของผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลง มีความเป็นไปได้สูงมากที่ฝ่ายวิจัยจะปรับลดประมาณการกำไรปี 2562-63 ลงราว 10-15% หลังการประกาศผลประกอบการ 3Q62 ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของ SCC ทั้งในเชิง Capital Gain และ Dividend Yield ลดลง เบื้องต้นราคาเป้าหมายมีโอกาสลดลงจาก 460 บาท ลงมาเหลือ 400-420 บาท ขณะที่เงินปันผลน่าจะลดลงเหลือเพียง 13-15 บาท/ปี ซึ่งคิดเป็น Yield ประมาณ 3.6% เท่านั้น ติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มใน Equity Talk เช้านี้
INSET เข้าตลาดวันแรก
INSET จะเข้าทำการซื้อขายในตลาด MAI วันนี้วันแรก เชื่อว่าเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีความน่าสนใจ จากธุรกิจหลัก คือผู้ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีความโดดเด่นในด้านความครบวงจรและคุณภาพงานจนได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น TRUE, CAT, TOT หนุนรายได้และกำไรปี 2559-61 เติบโตก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละ 49% และ 48.1% และคาดเติบโตต่อเนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ยังคาดหวังเม็ดเงินลงทุนเอกชน+รัฐบาลอยู่ระดับสูงราวปีละ 1แสนล้านบาทในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ในส่วนเงิน IPO ที่ได้รับราว 392 ล้านบาท จะนำไปเป็น 1.) เงินทุนหมุนเวียนสำหรับรองรับการส่งมอบ Backlog ที่มี 2.7 พันล้านบาท (หลักๆ ประกอบด้วยงานท่อร้อยสายสื่อสารลงดินใน กทม. และ โครงการบำรุงรักษาอินเตอร์เนตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล โซน C และ C+) และ 2.) การลงทุนโครงการจุดบริการ Wi-Fi ฟรีภายใต้โครงการ Google Station
ภายใต้สมมติฐานอนุรักษ์นิยมกำหนดยังไม่รวมโครงการก่อสร้างท่อร้อยสายฯ แต่ยังขาดความชัดเจนในบางประเด็น ทำให้ INSET รับงานอื่นแทนราว 62.9% ของมูลค่างานดังกล่าว ยังเชื่อหนุนรายได้เติบโตรวมถึงประสิทธิภาพกำไรดีขึ้น จากการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากงานบำรุงรักษา คาดหนุนกำไรปี 2562-63 ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 24% ขณะที่มูลค่าพื้นฐาน (Fair vaue) ฝ่ายวิจัยกำหนดอยู่ที่ 3.57 บาท โดยอิง PER ที่ 18 เท่า แม้สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม (CSS, ITEL) ที่ 16 เท่า แต่สะท้อนถึงกำไรที่เติบโตเด่นกว่ากลุ่มมีนัยฯ Fair Value ที่กำหนดมี Upside 32.7% จากราคา IPO 2.69 บาท แต่จากความผันผวนหุ้นที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ในวันแรกของการซื้อขาย การซื้อลงทุนจึงควรพิจารณาในกรณีที่มี Upside จากมูลค่าพื้นฐานเกิน 15%
“บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ INSET ในครั้งนี้ โดยการจัดทำเอกสารฉบับนี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการนำเสนอข้อมูลและบทวิเคราะห์เท่านั้น การตัดสินใจลงทุนขึ้นกับดุลยพินิจของนักลงทุน”
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ