- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 07 October 2019 16:13
- Hits: 1379
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ยังผันผวน...ซื้อ/ถือเหนือ 1605”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดวันก่อน : SET วันศุกร์อ่อนลงต่อ ปิดตลาดที่ 1605.96 (-4.73 จุด) และทั้งสัปดาห์ SET ร่วงลง -2.3% นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องโดย YTD ขายสุทธิสะสม -10.7 พันล้านบาท เนื่องจากตลาดมีความเสี่ยง/ความไม่แน่นอนสูง
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด : ต่างประเทศ- การจ้างงานนอกภาคเกษตรก.ย.ของสหรัฐออกมา 1.36 แสนตำแหน่งต่ำกว่าคาด และประธานเฟดเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญความท้าทายในระยะยาว (โตน้อย เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ) ทำให้โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุม 30 ต.ค.นี้มีมากขึ้นส่วนการเจรจาการค้า ตลาดกำลังลุ้นว่าทางฝั่งสหรัฐน่าจะผ่อนคลายลงหลังจีนนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐเพิ่ม ด้าน Brexit ทาง EU มีโอกาสเลื่อนเส้นตาย 31 ต.ค.นี้ออกไปถ้าอังกฤษต้องออกจาก EU แบบไร้ข้อตกลง
ในประเทศ – มีการทำ Preview กำไร 3Q62F ในเบื้องต้นกลุ่มพลังงานอาจมีกำไรต่ำกว่าที่คาดเพราะมีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง & ขาดทุนสต๊อก ส่วนกลุ่มธนาคารก็มีรายได้ค่า Fee ลดลง YoY และมีค่าใช้จ่ายลงทุนระบบไอทีสูง (คาดกำไร 3Q -13%YoY, -8%QoQ) กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ ส่งออก อสังหาฯ ยังไม่ดี กลุ่มสื่อสาร ค้าปลีกและท่องเที่ยวเติบโตได้แต่ไม่มาก ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรขยายตัวดี YoY จะเป็น โรงพยาบาล (หุ้นเด่น CHG, RJH), ไก่ส่งออก (GFPT), ไฟแนนซ์ (AEONTS, MTC) เป็นต้น กลยุทธ์ : ระยะสั้นมากตลาดยังผันผวนจากปัจจัยลบ/ไม่แน่นอน (VIX ถอยแรงเมื่อวันศุกร์และเช้านี้ DJIA Futures ลดลงต่อ, ราคาน้ำมันอ่อนลง) จึงเน้นหุ้น Defensive, หุ้นจ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอ
Stock Pick Today : RJH คาดกำไรสุทธิ 3Q19F โตเลขสองหลัก YoY จากรายได้และมาร์จิ้นที่ดีขึ้น คาด Core profit ปีนี้ +39%YoY มาจากรายได้และEBITDA margin ที่สูงขึ้น ส่วนโรงพยาบาลใหม่ที่สระบุรี (100 เตียง) จะเปิดปลายปี 2021 แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 33 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เป็นลบ แต่ก็อยู่ในพื้นที่ Oversold+Divergence ทำให้มีโอกาสรีบาวด์ในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดีการเด้งอาจมีระยะทางไม่มาก ให้แนวต้านช่วงนี้ไว้ที่ 1615-1620, 1630 การอ่อนตัวต่ำกว่า 1605 ดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม แนวรับย่อย 1590-1580 หุ้นเทคนิคเด่นที่แนะนำซื้อตามด้วยค่าบวกคือ SAWAD, TOA
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : กลุ่มธนาคารพาณิชย์
Flash Note : LPN (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 5.20)
SPRC (ถือ -ราคาพื้นฐาน 9.80)
In The News : CSP : โตโยต้าฯฟ้องคดีแพ่งกรณีทำผิดสัญญาซื้อขายเหล็กเรียกค่าเสียหาย 153 ล้านบาท
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : ประธานเฟดระบุว่ากำลังทบทวนกลุยทธ์บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2%
# นายพาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า “ในขณะที่เราเชื่อว่ากลยุทธ์และเครื่องมือของเรายังคงมีประสิทธิภาพ แต่เศรษฐกิจสหรัฐก็กำลังเผชิญกับปัจจัยความท้าทายในระยะยาว ซึ่งได้แก่ การขยายตัวในระดับต่ำ เงินเฟ้อในระดับต่ำ และอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ" นอกจากนี้ ประธานเฟดยังระบุว่าเฟดกำลังทบทวนกลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2%
• สหรัฐ : การจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.ย.ต่ำกว่าคาด
# สหรัฐรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษรเดือนก.ย.เพิ่ม +1.36 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 1.45 แสนตำแหน่งส่วนรายได้เฉลี่ยต่อชม.ทรงตัว (+2.9%YoY) จากที่ตลาดคาด +0.3%MoM (+3.1%YoY) และจาก +0.4%MoM (+3.2%YoY) ในเดือนส.ค. อัตราการว่างงานก.ย.เท่ากับ 3.5% ต่ำสุดในรอบ 50 ปี ขณะที่เดือนส.ค.อยู่ที่ 3.7%
+ สหรัฐ : โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยมีมากขึ้น
# CME Group FedWatch ระบุว่านักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสราว 79.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 29-30 ต.ค.นี้
# หากเฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ก็จะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ของเฟดในปีนี้ รวมทั้งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงิน 3 ครั้งติดต่อกัน
- สหรัฐ : ขาดดุลการค้าเดือนส.ค.สูงกว่าคาด
# ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ 5.49 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 5.45 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่มจาก 5.40 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. แต่สหรัฐขาดดุลกับจีนน้อยลง -3.1%MoM (-11.4%YoY)แต่ขาดดุลกับ EU เพิ่ม (+8.1%YoY นำโดยการขาดดุลกับเยอรมนี)
- ภาคการผลิตชะลอตัวลงทั่วโลก
# ตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือนก.ย.ของยูโรโซนลดลงสู่ระดับ 45.7 (ต่ำสุดในรอบ 7 ปี), ของจีนอยู่ที่ 49.8, ของสหรัฐ(ISM) ลดเป็น 47.8 ต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นผลจากสงครามการค้าและโครงสร้างการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 หมายถึงการหดตัว
+ จีนซื้อถั่วเหลืองสหรัฐเพิ่มขึ้นมาก...อาจเป็นสัญญาณบวกกับการเจรจาการค้า
# กระทรวงเกษตรสหรัฐระบุว่ายอดขายถั่วเหลืองรวมของสหรัฐสำหรับสัปดาห์สิ้นสุด 26 ก.ย. เพิ่มเป็น 2.08 ล้านตัน จาก1.04 ล้านตันในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยจากจำนวน 2.08 ล้านตันนั้น จีนซื้อไปถึง 1.56 ล้านตัน หรือประมาณ 75% ของยอดขาย สาเหตุสำคัญมาจากทางการจีนได้มีการประกาศยกเว้นภาษีถั่วเหลืองนำเข้าจากสหรัฐ
• Brexit : มีโอกาสเลื่อนออกไป
# สื่ออังกฤษระบุว่า EU อาจตัดสินใจยืดเส้นตาย Brexit ออกไปจาก 31 ต.ค.62 เป็น 15 ม.ค.63 โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกฯอังกฤษในกรณีที่ EU และอังกฤษยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้
+ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นแรง
# ดัชนี DJIA ปิด +372.68 จุด หรือ +1.42%, ดัชนี S&P500 ปิด +41.38 จุด หรือ +1.42% และ ดัชนี Nasdaq ปิด+110.21 จุด หรือ +1.40% แรงหนุนมาจากการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุม29-30 ต.ค.นี้, การปรับขึ้นของหุ้นหุ้นแอปเปิล (+2.8%) หลังมีรายงานว่าบริษัทจะเพิ่มการผลิต iPhone 11 อีกประมาณ 7-8 ล้านเครื่อง (+10%) หลังความต้องการซื้อสูงเกินคาด
• ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้น 0.7-1.1%
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 36 เซนต์ หรือ +0.7% ปิดที่ 52.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ หรือ +1.1% ปิดที่ 58.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
# เบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งานลดลงอีก 3 แท่นในสัปดาห์ก่อนสู่ระดับ 710 แท่นต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2560 และลดติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 แล้ว
• ราคาทองคำอ่อนลงเล็กน้อย
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 0.9 ดอลลาร์ หรือ 0.06% ปิดที่1,512.9 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+/- Preview ผลประกอบการ 3Q19F
# ในเบื้องต้นหุ้นกลุ่มพลังงานอาจมีกำไรสุทธิ 3Q19 ต่ำกว่าคาด เพราะมีค่าใช้จ่ายในการปิดซ่อมบำรุงและขาดทุนสต๊อกส่วนกลุ่มธนาคารก็มีรายได้ค่า Fee ลดลง YoY และอาจยังตั้งสำรองสูงต่อ กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ ส่งออก อสังหาฯ ยังไม่ดีกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก และท่องเที่ยวเติบโตได้แต่ไม่มาก ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรขยายตัวดี YoY จะเป็น โรงพยาบาล, ไก่ส่งออก, ไฟแนนซ์ เป็นต้น
• ระวังความผันผวนของหุ้นค้าปลีกและท่องเที่ยว
# ระยะสั้นหุ้นค้าปลีกและท่องเที่ยวได้อานิสงค์บวกจากมาตรการกระตุ้น กิน ชอป ใช้ และท่องเที่ยวเมืองรอง แต่ก็ควรระวังว่าราคาหุ้นอาจปรับขึ้นจำกัด เพราะมาตรการอาจส่งผลดีแค่ช่วงสั้นเท่านั้น
• AWC & KKP
# หุ้น AWC จะเข้าซื้อขายในตลาดฯ และเข้า SET50 เกณฑ์ Fast Track ซึ่งตลาดคาดว่า KKP จะถูกถอดออกจาก SET50ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นร่วงต่อเนื่อง แต่ ณ ราคาปัจจุบัน 64 บาท ให้ Dividend Yield กว่า 6% ต่อปีแล้ว แนะนำทยอยซื้อสะสม KKP
• ปัจจัยในประเทศที่ติดตาม
1) ความคืบหน้าการเซ็นสัญญารถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งกลุ่มซีพีและพันธมิตรชนะการประมูล, 2) การต่ออายุสัญญาสัมปทานทางด่วน BEM (สัมปทานหมดอายุก.พ.63), 3) การเข้ามาซื้อขายของ TMB-T1 ซึ่งจะเป็นภายในเดือนต.ค.นี้ และมีระยะเวลาซื้อขายเพียง 1 สัปดาห์กว่าๆ
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : [email protected]