- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 26 September 2019 15:57
- Hits: 1411
บล.บัวหลวง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
รอบด้านตลาดหุ้น
ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
เมื่อวานดัชนีฯปดทรงตัว : หุ้นธนาคารใหญ่ ได้แรงซื้อเข้ามาช่วงท้ายตลาด เช่น BBL SCB แต่หุ้น สินเชื่อบุคคลและรถยนต์ TISCO SAWAD MTC ราคาหุ้น ปรับขึ้นได้ดีกว่าทั้งที่ กนง.ประกาศ คงดอกเบี้ย คาดเป็นเพราะ ตลาดอ่านสัญญาณในการปรับตัวเลขเศรษฐกิจลง จึงเป็นที่คาดหวังในวงกว้าง อย่างแน่ชัดว่า ปีนี้จะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง...
ส่วนหุ้นที่เริ่มเห็นแรงซื้อเข้ามาระหว่างวัน คาดมีลุ้นสร้างฐานเพื่อเล่นขึ้นรอบใหม่ ได้แก่ STEC KCE ERW CENTEL
วันนี้คาดแกว่งในกรอบ : 1620-1640 จุด ด้วยปัจจัยแวดล้อมโดยรวมยังเป็นบวกต่อภาวะการเล่นรอบในรอบนี้ ตามที่เราระบุในรายงาน Weekly ว่าการรีบาวด์ขึ้นมาของตลาดหุ้นไทยขานี้ จะมาจากความคาดหวังเชิงบวก ประเด็น ความคืบหน้า การเจรจาการค้า ระหว่าง จีน-สหรัฐฯ ก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดด้านการค้า และ เศรษฐกิจ ครั้งที่ 13 ช่วงต้นเดือน ตค.เป็นข่าวหนุนตลาด รอบนี้
และกลยุทธ์ คงแนะ เลือกลงทุนเป็นรายตัว เน้น กระแสการลงทุนหลักๆ เช่น 1) หุ้นคุณค่าราคาถูก ธนาคาร รับเหมา 2) หุ้นที่มีข่าวหนุนในประเทศ รายตัว / รายกลุ่ม เช่น งานประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐาน, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลฯ เป็นต้น
What to watch
(+) กนง. มติเอกฉันท์ 7:0 คงดอกเบี้ยฯ 1.5% พร้อมทั้งปรับลด GDP ปีนี้ลงเหลือ 2.8% จากเดิม 3.3% : แนะนำ สะสมหุ้นธนาคารพาณิชย์
(0) เผย บจ.ร่วมมาตรการ ชิม ช้อป ใช้ : คาดผลบวกต่อหุ้นที่เชื่อมโยง อาจไม่ได้มากอย่างที่คาดหวัง ด้วย จำนวนสาขา ที่เข้าร่วมมีเพียงจำนวนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมด เช่น บิ๊กซี 9 สาขา, 7-11 แฟรนไชส์บางสาขา, รร.เซ็นทรัลเวิลด์+ลาดพร้าว เป็นต้น และในส่วนของ เงินคืน 15% ไม่สามารถใช้ในหมวดสินค้าทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า ส่วนใหญ่ต้องเป็นสินค้าที่สนับสนุนท้องถิ่นเท่านั้น (ที่มา www.ชิมช้อปใช้)
(*/+) ปธน.ทรัมป ให้มุมมองเชิงบวกต่อการเจรจาการค้ากับ จีน : ระบุ สหรัฐฯจะสามารถทำข้อตกลง การค้ากับจีนได้เร็วกว่าที่คาดไว้ / คาดข่าวนี้จะหนุนราคาหุ้น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วันนี้
(*/+) ครม.เศรษฐกิจ เตรียมเข็น มาตรการ หนุนส่งออก และด้านท่องเที่ยว : โดยจะมีการประชุม วันศุกร์ นี้ / หุ้นส่งออก เราแนะนำ KCE จับตามาตรการหนุน อาจเล็งผลทำให้บาทอ่อนค่าในระยะสั้น
(+) เฟด สาขานิวยอร์ก ได้ทำการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดการเงินในวันนี้ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในตลาด หลังจากที่เกิดความผันผวนต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนในสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางสภาพคล่องที่ตึงตัว
ทั้งนี้ เฟดนิวยอร์กได้อัดฉีดเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันนี้ ผ่านทางมาตรการซื้อคืนพันธบัตร (repo) ระยะ 14 วัน นอกเหนือจากการอัดฉีดสภาพคล่อง 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ผ่านทางมาตรการ repo ข้ามคืน
เฟดนิวยอร์กจะอัดฉีดสภาพคล่อง 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ผ่านทางมาตรการ repo ข้ามคืนเป็นประจำทุกวันจนถึงวันที่ 10 ต.ค. และจะดำเนินมาตรการ repo ระยะ 14 วันอีก 2 ครั้งคิดเป็นวงเงินอย่างน้อย 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้
ก่อนหน้านี้ เฟดสาขานิวยอร์กทำการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงินในวันที่ 17-18 ก.ย. รวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืน โดยได้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ตลาดในวันที่ 18 ก.ย. หลังจากที่ได้อัดฉีดเงินมากกว่า 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 17 ก.ย. เพื่อสกัดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนที่พุ่งขึ้นใกล้แตะระดับ 10%
การอัดฉีดสภาพคล่องดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกของเฟดนับตั้งแต่ปี 2551
หุ้นแนะนำวันนี้
STEC SEAFCO ดูรายงานวันนี้
KCE รับข่าว การเจรจาการค้า สหรัฐฯ-จีน คืบหน้า
ADVANC ทำสัญญา ระงับข้อพิพาท ซื้อขายอุปกรณ์ 2G กับ ทศท. เราคาด 1) จะหนุนกำไรของ AIS จากการประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเช่าอุปกรณ์ 2G ราว 2 พันล้านบาท/ปี เริ่ม กย.นี้รับรู้เต็มปีปีหน้า 2) เราคาด Upside ต่อกำไรของ AIS ราว 6% และ อยู่ระหว่างการปรับประมาณการขึ้น 3) งบ 3Q19 อาจมีค่าใช้จ่ายพิเศษจาก การระงับข้อพิพาทนี้ แต่ เราคาดว่าจะมี รายได้พิเศษอื่นเข้ามาชดเชย ทำให้กำไรสุทธิ ไม่ลดลงไปมาก
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
ธนัท พจน์เกษมสิน,นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
นภนต์ ใจแสน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
รายงานวันนี้
ECONOMICS ธปท. คงดอกเบี้ย แต่ปรับการเติบโตชอง GDP ลง
วานนี้ กนง.มีมติเอกฉันท์ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ตามที่ตลาดคาด พร้อมปรับการเติบโตของ GDP ลงจาก 3.3% เหลือ 2.8% เราคาดว่า ธปท. จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก จากทั้งการใช้นโยบายผ่อนคลายจากธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงการเติบโตของ GDP และอัตราเงินเฟอในประเทศที่อ่อนแอ และการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของค่าเงินบาท แต่คาดจะ ธปท. จะไม่ได้ปรับลงไปจนถึงอัตราที่ต่ำที่สุดที่เคยทำไว้ที่ 1.25%
PSL BDI กลับมาทะยานอีกรอบ
BDI มีการฟืนตัวค่อนข้างแรงตั้งแต่ช่วงปลาย 2Q19 โดย BDI ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 27% YoY และ 105% QoQ ในช่วง QTD สู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี ซึ่งมีปัจจัยหนุนจาก 1) การส่งออกแร่เหล็กของบราซิล, 2) การนำเข้าข้าวสาลีของออสเตรเลีย และ 3) การบริหารอุปทานของกลุ่มเดินเรือ เราประเมินกำไรหลัก 3Q19 ของ PSL ที่ 101 ล้านบาท พลิกกลับเป็นกำไรจากขาดทุนใน 2Q19 ที่ 137 ล้านบาท เราคาด BDI จะยังคงปรับตัวขึ้นไปถึงช่วงครึ่งแรกของ 4Q19 และเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น เราแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 12.20 บาท
CHG ผู้นำการเติบโตของกำไรในปี 2020
เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเปาหมาย 2.80 บาท โดยเรามั่นใจว่า CHG จะเป็นผู้นำการเติบโตของกำไรในปี 2020 จากผลประโยชน์ของการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นผล เราเชื่อว่าหลายๆโณงพยาบาลที่ลงทุนไปในช่วงที่ผานมาจะเริ่มถึงจุดคุ้มทุนตั้งแต่ 3Q19-1Q20 ซึ่งจะหนุนให้กำไรของ CHG กลับมาเติบโต YoY ได้ใน 3Q19 หลังจากที่ปรับตัวลดลง YoY มา 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดยเราประเมินกำไร 3Q19 เติบโต 19% YoY และ 4Q19 เติบโต 25-30% YoY
กลุ่มรับเหมาฯ High/low หรือเลือกตอง
ได้เวลาโหลดหุ้น รับเหมาก่อสร้างเข้าพอร์ต (Upgrade to OVERWEIGHT) รอบใหม่ ด้วย... 1) เราเริ่มเห็นโฟลว์งาน โครงการภาครัฐกลับมา ซึ่งจะเริ่มด้วย การหาข้อสรุปรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ภายใน 15 ตค. 2) Valuation ที่ถูกสุดๆ ปัจจุบันหุ้นรับเหมาเทรดบนระดับ -1SD ถึง -2SD (Multiple) จากค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งในอดีตเวลาที่มีงานประมูลออก กลุ่มรับเหมาฯ จะถูก Re-rate ตัว Multiplier ขึ้น 3) กำไรเติบโตจากการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นได้ดี และงานในมือที่ทยอยส่งมอบได้ตามแผนงาน หนุนต่อแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังของกลุ่มต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า สำหรับ Top pick ของกลุ่มเราชอบ STEC และ SEAFCO
TMB แจงสิทธิการรับ TMB-T1 และราคาแปลงสภาพ
ผู้บริหารธนาคารแจงการใช้สิทธิรับพรี 1 สิทธิ TMB-T1 จากอัตราส่วนหุ้นเดิม TMB จำนวน 1.444533 หุ้น และราคาแปลงสภาพ TMB-T1 สามารถซื้อหุ้นเพิ่มทุน TMB ที่ราคา 1.40 บาท โดยธนาคารจะขึ้น XR ในวันที่ 26 ก.ย. 2019 เราเชื่อว่า TMB มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุน 1 แสนล้านบาทรอบนี้และมีการดำเนินงานดีขึ้นมากในปี 2020 อย่างไรก็ตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มมากถึง 6.2 หมื่นล้านหุ้นทำให้เป็นแรงกดดันราคาหุ้นต้นปีหน้า เราจึงแนะนำเปลี่ยนตัวเล่นไป TCAP และคาดว่าจะมีกำไร 1.5 หมื่นกว่าล้านบาท ทำให้สามารถจ่ายปันผลพิเศษ 4.00 บาท/หุ้นในต้นปีหน้าและทำการซื้อหุ้น TCAP คืน 97 ล้านหุ้นใน 1Q20
EGCO ลงทุนในโครงการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อ
EGCO แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทฯจะเข้าลงทุนในบริษัท ไทย ไปปไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ในสัดส่วน 44.6% คิดเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้นราว 3 พันล้านบาท เบื้องต้นเราคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถเพิ่มกำไรในระยะยาวของ EGCO ได้ราว 2 ร้อยล้านบาทต่อปี และเป็นอัพไซด์จากราคาเปาหมายของเราอีกประมาณ 2 บาท การลงทุนดังกล่าวอาจส่งผลให้ตลาดมีการปรับคาดการณ์กำไรในระยะยาวและราคาเปาหมายขึ้น ทั้งนี้เรามองว่าราคาหุ้น EGCO ที่ปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อยในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมาได้สะท้อนการลงทุนดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำ "ขาย"
BPP เรื่องแนวโน้มการปรับตัวแปรอ้างอิงในการคำนวณค่าไฟในประเทศจีนจากรายงานของ MS
จาก Channel check ของเรา พบว่าทางจีนไม่อยากใช้คำว่า "coal" ใน policy ของประเทศ จึงมีแผนที่จะยกเลิกการคิดค่าไฟโดยการอ้างอิงจากราคาถ่านหิน มาเป็นวิธีอื่น (ยังไม่มีข้อมูล) ผลที่อาจจะเกิดขึ้น: Scenario 1: คิดราคา benchmark ใหม่โดยอ้างอิงจากราคาเฉลี่ยตามสัดส่วนเชื้อเพลิง ซึ่งถ่านหินน่าจะยังคงเป็นเชื้อเพลิงที่มีสัดส่วนสูง เนื่องจากราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟาในจีน เช่น BPP
Scenario 2: จีนเปลี่ยนระบบไปเป็น merchant market (เรามองว่าเป็นไปได้ยากที่จะปรับทั้งประเทศภายในปี 2020 เพราะต้องใช้เวลาในการปรับปรุงระบบสายส่งอีกมาก แต่การปรับบางจังหวัดอาจเป็นไปได้) โรงไฟฟาถ่านหิน (ซึ่งน่าจะยังคงเป็นเชื้อเพลิงที่ราคาถูกอันดับต้นๆ) ก็น่าจะขายไฟฟาได้ก่อนโรงไฟฟาเชื้อเพลิงชนิดอื่นอยู่ดี นอกจากนี้การเป็น merchant market ไม่ได้หมายความว่า ค่าไฟจะถูกลง (ยกตัวอย่างเช่น ฟิลิปปินส์มีค่าไฟแพงมาก แม้จะเป็น merchant market แล้วก็ตาม) รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่ค่าไฟจะสะท้อนต้นทุนถ่านหินมากขึ้น (ทุกวันนี้ค่าไฟถูกกดดัน แม้ถ่านหินจะมีราคาแพง)
สรุป: เรามองว่า MS อาจจะกังวลมากจนเกินไป ราคาหุ้น BPP ที่ปรับตัวลงมา ยิ่งทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เราจึงยังคงแนะนำ "ซื้อ"
หุ้นมีข่าว
CK SEAFCO ITD
+ ศักดิ์สยาม"เผย "อนุทิน"พร้อมควักเงินส่วนตัว 200ล. จ่ายค่าทุบเสาตอม่อโฮปเวลล์ ให้"ซีพี" เพื่อให้เดินหน้าเซ็นสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน ได้ (ที่มา ผู้จัดการ)
EGCO
+ เผย โรงไฟฟา SBPLกำลังการผลิตติดตั้ง 500 เมกะวัตต์ ที่ ฟิลิปปินส์ CODแล้ว รับรู้รายได้ในQ4/62เป็นต้นไป (ที่มา ASPEN)
BBL
+ เผยอยู่ระหว่างทบทวนนำเงินสำรองฯ ส่วนเกินกลับมาตั้งสำรองหนี้เสียหรือกลับมาเป็นกำไร รอประเมินภาพรวมเศรษฐกิจอีกครั้ง ยันแบงก์มีสำรองหนี้สูงถึง 186% พร้อมรับมือการใช้ TFRS 9 มั่นใจสินเชื่อรวมปีนี้โตตามเปาหมายที่ 3-4% เดินหน้าเปิด Open Architecture กองทุนรวมในปีหน้า (ที่มา ข่าวหุ้น)
COM7
+ ผู้บริหารแย้มไตรมาส 4/2562 โตแรง กำลังซื้อเพิ่มรับผลบวกจากการเปิดตัว APPLE 11 ดันรายได้ 10% ตามเปาที่ตั้งไว้ เล็งเพิ่มสินค้าเฮาส์แบรนด์เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย หรือเครื่องใช้ภายในบ้าน รวมถึงสินค้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟา ประกาศพร้อมให้บริการเคอร์รี่ ในช่วงไตรมาส 4/2562 (ที่มา ทันหุ้น)
HMPRO
+ รับอานิสงส์ซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลด คาดรายได้ครึ่งปีหลังฟืน ยอดขายสาขาเดิมยังโต เร่งอัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย หวังงาน HMPRO EXPO สร้างรายได้ราว 600 ล้านบาท เตรียมเปิดสาขา MEGA HOME อีก 2 สาขา ในเดือนพฤศจิกายนนี้ (ที่มา ทันหุ้น)
Trend Forecasting
SET Index ปิด 1,628.38 (-0.13%) มูลค่าการซื้อขาย 4.4 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มระยะสั้นมอง
SET Index แนวรับ 1,625 แนวต้าน 1,635 / SET100 รับ 2,375 ต้าน 2,395 BSET100 รับ 10.50 ต้าน 10.62 / BMSCITH รับ 11.87 ต้าน 11.97
หัวข้อ: SET Index ลุ้นโอกาสเด้งสั้นได้หรือไม่...
กลยุทธ์เทคนิค:
ดัชนีปิดลงเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเริ่มสู้ สังเกตจากกราฟแท่งเทียน " Bullish Harami" เกิดต่อเนื่อง 2 วัน บ่งชี้แรงขายชะลอและเห็นได้ชัดวอลุ่มเฉลี่ยต่อวันลดลง ตลาดกลับมาเข้าสู่โหมดพักตัว สร้างฐาน รอข่าวดีหนุนก็อาจจะขึ้นได้ไม่ยาก แต่หากรีบาว์ขึ้นได้ คงไม่มองไกล เนื่องจากโครงสร้างหลักยังคงเป็นขาลง ในส่วนภาวะตลาดรวม Market Heat Map โชว์สีแดงสดจะเป็นหุ้นลงแรง วอลุ่มเยอะ มีผลต่อตลาด ได้แก่ PTTEP&ADVANC ขณะที่สีดำมีมากซึ่งแสดงหุ้นส่วนใหญ่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงนั่นเอง สรุปแนวโน้มตลาดจะส้รางฐานแนวรับ 1620 ต้านแรก 1640 ต้านใหญ่ 1660 จุด
มุมมองทางเทคนิค:
ตลาดหุ้นอินเดียขึ้นได้แรงสุดในสัปดาห์นี้ แน่นอนต้องมีข่าวดีคือ เรื่องการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อกระตุ้นอุปสงค์และการลงทุนในประเทศ ส่งผลให้โครงสร้างดัชนีเปลี่ยนเป็นขึ้น ยืนยันด้วยภาพ MACD นอกจากนี้ยังเปิดกระโดด บ่งชี้แรงซื้อมหาศาล มองโอกาสขึ้นทดสอบจุดยอดเดิมที่เคยทำไว้เมื่อเดือน 7 ไปจนกว่าสัญญาณทางเทคนิคจะกลับข้าง แนะสังเกตง่ายๆ MACD < 0 หรือหลุดแนวรับที่ 38000 จุด
วิธีการเลือกหุ้น:
เนื่องจากโครงสร้างตลาดระยะสั้นลุ้นรีบาวด์จากการลงแรง แนะใช้เครื่องมือทางเทคนิคจับจังหวะการเทรดระยะสั้นได้แม่นยำ เช่น Candlestrick,Bollinger band,Stochastic , price pattern
*Bullish "Hammer" candle in weekly chart: Finance, Transport
*Bearish new low in weekly chart: ICT, Helthcare, AUTO
โมเดลพอร์ตทางเทคนิค:
สรุปผลตอบแทนการลงทุน Year to date +7.7% สูงกว่าตลาดที่ +4.2%
*Addition(หุ้นเพิ่ม): BTS, WHA
*Deletion(หุ้นออก): --ไม่มี--
หุ้นคงเหลือ: STEC, BGRIM , GFPT, KBANK, TKN, CENTEL, ERW
ธนรัตน์ อิศรกุล นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์และปัจจัยทางเทคนิค
[email protected] +662-618-1334
Track with Technical: "Bull & Bear Signal"
BTS (BTS01C2001B)
แนะนำ ซื้อ
รับ 13.20
ต้าน 14.80
เหตุผล BTS สร้างฐานเพื่อโอกาสทะลุกรอสามเหลี่ยมเปลี่ยนโครงสร้างเป็นขาขึ้นรอบใหม่ลุ้น New high
WHA (WHA01C2002A)
แนะนำ ซื้อ
รับ 4.70
ต้าน 5.00
เหตุผล กราฟ 120-นาทีราคาทะลุผ่านต้านสำคัญ4.7 ยืนยันด้วยวอลุ่มมากกว่าค่าเฉลี่บ บ่งชี้สัญญาณกลับตัว
GLOBAL (GLOB01P2003A)
แนะนำ ขาย
รับ 15.00-15.50
ต้าน 16.50
เหตุผล หุ้นถูกซื้อกลับหลังจากราคาลงแรง อย่างไรก็ตามโครงสร้างหลักดูอันตรายเนื่องจากภาพTriple Top บ่งชี้ แนวโน้มกลับตัวเป็นขาลง