WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

“ECB ตามคาด ทรัมป์อาจทำข้อตกลงการค้าชั่วคราว”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : RML (จากซื้อเป็นถือ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ -13.35 จุด ปิดที่ 1660.68 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเป็น 70.1 พันล้านบาท ดัชนีฯบ้านเราปรับแย่กว่าเพื่อนบ้าน ตลาดไม่ตอบรับข่าวดีที่จีนและสหรัฐผ่อนคลายการค้า และรอดูผลการประชุม ECB วันนี้ กลุ่มธนาคารมีการปรับตัวขึ้นหนุนตลาด แต่กลุ่มโรงไฟฟ้าและสื่อสารมีแรงขายมาก หลังบอนด์ยิลด์ขึ้น และกังวลหุ้นถูกถอดออกจาก SET50 หลังหุ้นใหม่และใหญ่มากคือ แอสเสท เวิลด์ (AWS) จะเข้าซื้อขาย ผู้ขายสุทธิคือ ต่างชาติ รายย่อย ส่วนซื้อสุทธิเป็น โบรกเกอร์ และสถาบันตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิเพิ่มเป็น 4.8 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: ECB ลดดอกเบี้ยและเพิ่ม QE ทรัมป์อาจทำข้อตกลงการค้าชั่วคราว เป็นปัจจัยบวกเข้ามา จำนวนผู้ขอยื่นสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง ติดตามการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดสัปดาห์หน้า ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้บวก เช่นเดียวกับดาวโจนส์ล่วงหน้า ดัชนีความกังวล (VIX) ปรับตัวลง ด้านปัจจัยลบคือ บอนด์ยิลด์สหรัฐปรับขึ้น ราคาน้ำมันปรับลงทั้งตลาดสป็อตและล่วงหน้า และกังวลว่าเมื่อหุ้นใหม่คือ AWC เข้าตลาดจะได้อยู่ SET50 ทันที แต่จะมีตัวออก จึงมีแรงขายออกมา สำหรับ 10ลำดับแรกใน SET50 ที่มี Market Cap.น้อยที่สุดคือ TMB, SAWAD, ROBINS, WHA, GLOBAL, BANPU, TCAP, DELTA, BPP, KKP แต่ TMB และ ROBIBS รอด เพราะจะใหญ่ขึ้น
# ระยะสั้นคาด SET- มีโมเมนตัมบวกจากเรื่อง ECB และเจรจาการค้า แต่บอน์ยิลด์ที่ยังเพิ่มสกัด คาด SET ซื้อขายในกรอบ 1650-1680 จุด แม้คาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยจะปรับขึ้นตาม ส่งผลลบต่อราคาตราสารหนี้ และสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น กลุ่ม REITs,IFF โรงไฟฟ้า ช่วงนี้ปรับลง จึงควรระวังแรงขายทำกำไร แต่การเจรจาการค้ากลับมาดี คาดจะมีโมเมนตัมบวกต่อ แต่ระยะหลังคนไม่เชื่อข่าวดีจากทรัมป์ กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนเป็นรายกลุ่มและรายตัว (Selective) แนวต้านเป็น1675-1680 จุด แนวรับอยู่ที่ 1658-1655 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม กลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำ มีพื้นฐานแข็งแกร่ง หาจังหวะทยอยสะสมได้ คือ พลังงาน- PTT,PTTEP โรงกลั่น- TOP พาณิชย์- CPALL, BJC ท่องเที่ยว- ERW,MINT ขนส่ง AOT,BEM,BTS อาหาร CPF,TU,TKN สื่อสาร- ADVANC ธนาคาร,ไฟแนนซ์- BBL, KBANK,KKP,TISCO, AEONTS,MTC การแพทย์- RJH,CHG นิคมฯ- AMATA, WHA ที่อยู่อาศัย- AP, ORI และสื่อ- VGI
# Stock Pick Today : DREIT ระยะเวลาซื้อหุ้นเพิ่มทุน 302.1 ล้านหน่วย แบบให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights) ที่สัดส่วน เก่า:ใหม่ 1 :0.7379 ระยะเวลาการจอง 13, 16-19 ก.ย.62 หากเหลือจะจัดสรรให้กับ Public จะระดมทุนราว 2.4 พันล้าบาท เพื่อเข้าซื้อ โรงแรมดุสิต ธานี มัลดีฟส์ ซึ่งมีสิทธิการเช่าระยะยาวในช่วงที่เหลืออีก 40 ปี ผ่านบริษัทย่อยด้วยการเข้าซื้อหุ้น 100% และปล่อยกู้ให้ด้วย ราคาการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน 5.90 บาทต่อหุ้น แนะนำ ซื้อ ประเมินราคาพื้นฐานเป็น 7.55 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 26% ด้านข้อดีคือ จ่ายเงินปันผลได้สูง คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้และปี 63 เป็น 7.3% และ 7.4% ตามลำดับ IRR เป็น 7.3%

การวิเคราะห์ทางเทคนิค ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เปลี่ยนกลับเป็นบวกเล็กๆ {“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน”ได้ต่อ (แต่ยังคงติด“แนวต้านสำคัญ”และถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก” (แรงหนุนจาก“SMA10”) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1680 (หรือ 1690) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1660” (แนวรับย่อย “1650 – 1640, หรือ 1610” จุด}
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com

Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : RML (ถือ -ราคาพื้นฐาน 1.12)
Flash Note : กลุ่มพาณิชย์
DREIT (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 7.55)
NOBLE (ถือ -ราคาพื้นฐาน 25.68)
In The News : RJH (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 33.00)
SCC (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 493.00)
Turnover List Watch : คาดไม่มีหลักทรัพย์ใดติด Cash Balance

Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ECB: มีการปรับลดดอกเบี้ย และออก QE เพิ่ม ตามคาด
# ECB ตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB สู่ระดับ -0.50% จากเดิมที่ระดับ -0.40% พร้อมประกาศรื้อฟื้นโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนพ.ย. ซึ่ง ECB จะซื้อพันธบัตรในวงเงิน 2 หมื่นล้านยูโร/เดือน โดยยังไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการ

+ เจรจาการค้า: ทรัมป์จะพิจารณาการทำข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราวกับจีน
# สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ส่งสัญญาณเชิงบวก หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเลื่อนการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์ จากวันที่ 1 ต.ค. ไปเป็นวันที่ 15 ต.ค. ขณะที่รัฐบาลจีนได้ประกาศรายชื่อสินค้าจำนวน 16 รายการของสหรัฐที่จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 ก.ย.เป็นเวลา 1 ปีจนถึงวันที่ 16 ก.ย.2563
# ล่าสุด ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะพิจารณาการทำข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราวกับจีน แต่ในขณะเดียวกันเขายังคงต้องการที่จะทำข้อตกลงการค้าฉบับสมบูรณ์กับจีน

+สหรัฐ : ตัวเลขยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง และ CPI เพิ่มขึ้นน้อย
# จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 15,000 ราย สู่ระดับ 204,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือนหลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค.

+/- ประชุมเฟด: 17-18 ก.ย.คาดลดดอกเบี้ย 0.25% แต่ระยะยาวอาจไม่ปรับลดมาก และไม่ถี่
# นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลคาดการณ์ว่า เฟดจะจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 30-31 ก.ค. แต่ที่สำคัญคือ ทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยในระยะยาวอาจจะไม่ปรับลดมาก และความถี่น้อยลง


+ ดาวโจนส์: ปรับขึ้น ขานรับการค้าสหรัฐ จีนส่งสัญญาณบวก
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,182.45 จุด เพิ่มขึ้น 45.41 จุด หรือ +0.17% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่3,009.57 จุด เพิ่มขึ้น 8.64 จุด หรือ +0.29% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,194.47 จุด เพิ่มขึ้น 24.79 จุด หรือ +0.30%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) ขานรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมทั้งสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ส่งสัญญาณคืบหน้า โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นนำตลาด

- น้ำมัน: ปรับลง ผิดหวังโอเปกไม่ได้หารือลดกำลังการผลิต
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 66 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 55.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 43 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 60.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งรวมถึงรัสเซีย ไม่ได้หารือเกี่ยวกับการเพิ่มปริมาณการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมเมื่อวานนี้

- ทองคำ: ปรับขึ้น จากการผ่อนคลายของ ECB และดอลลาร์อ่อนค่าลง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.2 ดอลลาร์ หรือ 0.28% ปิดที่1,507.4 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับสัญญาทองคำ

• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค.

ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ สคร. ขอให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนในลักษณะ Front-Loaded
# นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เผยได้ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เข้มข้นมากขึ้น ตามข้อสั่งการของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยขอให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนในลักษณะ Front-Loaded เพื่อช่วยให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น และให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาโครงการลงทุนเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี 2562 โดยภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือน ก.ค.62 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค.61 -ก.ค.62) จำนวน 146,707 ล้านบาท หรือคิดเป็น 81% ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม

-หุ้น IPO ใหม่ AWC หรือ แอสเสท เวิลด์ ได้เข้า SET50 เร็ว ทำให้หุ้นลำดับท้ายๆกังวลจะหลุดจาก SET50
# AWC ได้เข้า SET50 เร็ว คือเมื่อเข้ามาซื้อขายในตลาดฯ เพราะมี Market Cap ในสัดส่วนมากกว่า 1% จากมูลค่าตลาดฯ รวม อันเป็นไปตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์
# 10 ลำดับหุ้นล่าสุดใน SET50 ที่มี Market Cap ต่ำสุด เรียงจากมากไปหาน้อยได้แก่ TMB, SAWAD, ROBINS, WHA,GLOBAL, BANPU, TCAP, DELTA, BPP, KKP หลักทรัพย์ลำดับท้ายๆจะถูกสงสัยมากกว่า ทำให้ราคาหุ้นอาจปรับลงทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน แต่หลักทรัพย์มีโอกาสรอด เพราะจะมี Market Cap ใหญ่ขึ้นคือ TMB , ROBINS เพราะTMB กำลังเพิ่มทุนในการควบรวมกับ TBANK และ ROBINS กำลังเปลี่ยนไป CRC ที่ใหญ่ขึ้น
# หลักทรัพย์ที่ราคาปรับลงมากกลับเป็น WHA ทั้งๆที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้แย่ลง และ LH แม้มีลำดับที่สูงกว่า 10 ลำดับสุดท้าย ไม่อยู่ใน List ข้างต้น กลายเป็นว่ายิ่งราคาตกมากเท่าใด Market Cap จะยิ่งต่ำ และมีโอกาสจะหลุดออกไปได้มากขึ้น

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!