- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 12 September 2019 15:44
- Hits: 1917
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“จีนส่งสัญญาณบวก สหรัฐหยุดภาษีให้จีน 2 สัปดาห์”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ +8.10 จุด ปิดที่ 1674.03 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 71.2 พันล้านบาท ดัชนีฯบ้านเราปรับขึ้นเหมือนภูมิภาคและยุโรป หลังจีนประกาศยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 16 รายการและรอดูผลการประชุม ECB วันนี้ ขณะที่กลุ่มธนาคารมีการปรับตัวขึ้นดีหนุนตลาด แต่กลุ่มโรงไฟฟ้ามีแรงขายมาก หลังบอนด์ยิลด์ขึ้น ผู้ขายสุทธิคือรายย่อย และสถาบัน ส่วนซื้อสุทธิเป็น ต่างชาติ และโบรกเกอร์ ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิลดลงเป็น 3.8 พันล้านบาทด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: จีน-สหรัฐส่งสัญญาณเจรจาการค้าดีขึ้น ติดตามการประชุม ECB วันนี้ แต่ตัวสกัดยังเป็นบอนด์ยิลด์สูง จีนจะยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ16 รายการ สหรัฐฯหยุดการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 2 สัปดาห์ ติดตามการเจรจาการค้าช่วง ต.ค.62 คาดกันว่า ECB ลดดอกเบี้ยแน่ แต่ตลาดรอดูจะมี QE หรือไม่ ต่างชาติแม้ขาย SET แต่ซื้อ Future มากสุดเป็นประวัติการณ์ ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านปรับขึ้นถ้วนหน้า ดาวโจนส์-น้ำมันล่วงหน้าปรับขึ้น บาทแข็งเหมือนมีเงินไหลเข้า ดัชนีความกังวลลดลงเป็น 14.61 จุด แต่ปัจจัยลบคือ บอนด์ยิลด์สหรัฐ 10 ปี ปรับขึ้นไปอีกเป็น 1.7606% อาจทำให้กังวลว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยในระยะต่อไปน้อยลง แม้ของเดือนนี้จะปรับลงก่อน
# ระยะสั้นคาด SET- มีโมเมนตัมบวกจากเรื่องเจรจาการค้า ปัจจัยลบบอนด์ยิลด์อาจชะลอ คาด SET ซื้อขายในกรอบ 1660-1690 จุด แม้คาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยจะปรับขึ้นตาม ส่งผลลบต่อราคาตราสารหนี้ และสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น กลุ่ม REITs,IFF ช่วงนี้ปรับลง จึงควรระวังแรงขายทำกำไร แต่การเจรจาการค้ากลับมาดี คาดจะมีโมเมนตัมบวกต่อ กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนเป็นรายกลุ่มและรายตัว (Selective) แนวต้านเป็น 1680-1690 จุด แนวรับอยู่ที่ 1650-1640 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม กลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำ มีพื้นฐานแข็งแกร่ง หาจังหวะทยอยสะสมได้ คือ พลังงาน- PTT, PTTEP โรงกลั่น- TOP พาณิชย์- CPALL, BJCท่องเที่ยว- ERW,MINT ขนส่ง AOT,BEM,BTS อาหาร CPF,TU,TKN สื่อสาร- ADVANC ธนาคาร,ไฟแนนซ์- BBL, KBANK, KKP,TISCO, AEONTS,MTC การแพทย์-RJH,CHG นิคมฯ- AMATA, WHA ที่อยู่อาศัย- AP, ORI และสื่อ- VGI
# Stock Pick Today : CPN แนวโน้ม 2H62 สดใสขึ้นกว่า HoH รายได้การโอนคอนโดจะสูงขึ้น โดยเฉพาะ 4Q62 ที่มาก และมีแผนขายสินทรัพย์เพิ่มเข้า CPNREIT ในจำนวน 1-2 โครงการ ข้อดี เกิด unlock value มีกำไร และเงินทุนไปขยายธุรกิจใหม่ได้อีก แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 71.00 บาท ประเมินด้วยวิธี DCF คาดว่าการลงทุนใหม่ๆ จะเกิดประโยชน์ในระยะยาว เช่น Grab ประเทศไทย ส่วนการเปิดโครงการศูนย์การค้าใหม่คือ วิลเลจ ก็เป็นไปอย่างราบรื่น หลังศาลฯตัดสินให้มีการคุ้มครอง และประชาชนให้ความสนใจไปเยี่ยมชมสูง
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เปลี่ยนกลับเป็นบวกเล็กๆ {“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน”ได้ต่อ (แต่ยังคงติด“แนวต้านสำคัญ”และถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก” (แรงหนุนจาก“SMA10”) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1680 (หรือ 1690) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1660” (แนวรับย่อย “1650 – 1640, หรือ 1610” จุด}
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KTB,CPN,IRPC,BLA,TPCH ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ GLOBAL,EKH,TASCO, หุ้นที่หลุด List คือBCPG,VGI,PLANB,BEC และที่ให้หาจังหวะTake profit RPH,BBL,STEC,TOP,PTTGC
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : อหิวาต์แอฟริกันในสุกรอาจเป็นโอกาสในวิกฤตของผู้ประกอบการรายใหญ่
Company Guide : DTAC (ถือ -ราคาพื้นฐาน 63.50)
PF (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 1.13)
Special Issue: ติดตามความเคลื่อนไหวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ จีน: วานนี้เปิดเผยรายการสินค้าจำนวน 16 ชนิดของสหรัฐที่ได้ยกเว้นภาษี
# กระทรวงการคลังของจีนเปิดเผยรายการสินค้าชุดแรกของสหรัฐจำนวน 16 ชนิด รวมถึงเวย์โปรตีน, ปลาป่น และน้ำ มันหล่อลื่น ซึ่งจะได้รับการยกเว้นจากการเรียกเก็บภาษีนำ เข้าเพิ่มเติมสำ หรับสินค้ารอบแรกของสหรัฐคณะกรรมาธิการภาษีศุลกากรของสภาแห่งรัฐเปิดเผยว่า การยกเว้นการเก็บภาษีเพิ่มเติมกับสินค้าดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 ก.ย. เป็นเวลา 1 ปีจนถึงวันที่ 16 ก.ย. 2563
# นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์อินเวอร์เนส คอนเซลในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนถือเป็นการส่งสัญญาณว่า จีนมีความมุ่งมั่นที่จะคลี่คลายข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐ ก่อนที่การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายจะเปิดฉากขึ้นในเดือนต.ค. ขณะที่นักลงทุนเชื่อว่า ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะบรรลุข้อตกลงการค้า
+สหรัฐ : ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ส.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น0.1% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค.ขณะที่สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง(MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่าจำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองเพิ่มขึ้น 2% ในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวลง
+ เจรจาการค้า : จีนจะนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่ม หากสหรัฐยอมผ่อนคลายเรื่องหัวเหว่ย
# นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากหนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานว่า จีนได้ยื่นข้อเสนอที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น หากสหรัฐยอมผ่อนคลายข้อจำกัดต่อการซื้อสินค้าของบริษัทหัวเว่ย และเลื่อนการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 ต.ค.
+ECB: คาดจะมีการปรับลดดอกเบี้ย และออก QE เพิ่ม
# นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และประกาศรื้อฟื้นโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซน
+/- ประชุมเฟด: 17-18 ก.ย.คาดลดดอกเบี้ย 0.25% แต่ระยะยาวอาจไม่ปรับลดมาก และไม่ถี่
# นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลคาดการณ์ว่า เฟดจะจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 30-31 ก.ค. แต่ที่สำคัญคือ ทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยในระยะยาวอาจจะไม่ปรับลดมาก และความถี่น้อยลง
+ ดาวโจนส์: ปรับขึ้น ขานรับการค้าสหรัฐ จีนส่งสัญญาณบวก
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,137.04 จุด เพิ่มขึ้น 227.61 จุด หรือ +0.85% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่3,000.93 จุด เพิ่มขึ้น 21.54 จุด หรือ +0.72% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,169.68 จุด เพิ่มขึ้น 85.52 จุด หรือ +1.06%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลจีนเปิดเผยรายชื่อสินค้าของสหรัฐที่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ก่อนที่การเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศจะเปิดฉากขึ้นในเดือนหน้า โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของราคาหุ้นแอปเปิล หลังจากบริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone รุ่นใหม่
- น้ำมัน: ปรับลง ทรัมป์ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.65 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 55.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.57 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 60.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.)หลังจากสื่อรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน เพื่อหวังปูทางไปสู่การพบปะกับประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ผู้นำอิหร่าน นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกปีนี้และปีหน้า
- ทองคำ: ปรับขึ้น คาดหวัง ECB และ เฟด ผ่อนคลายนโยบายการเงิน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4 ดอลลาร์ หรือ 0.27% ปิดที่1,503.2 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป(ECB) และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมเดือนก.ย.
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ นักลงทุนต่างชาติโหมซื้อสุทธิในตลาดฟิวเจอร์สหุ้นไทย สูงสุดเป็นประวัติการณ์
# นักลงทุนต่างชาติโหมซื้อสุทธิในตลาดฟิวเจอร์สหุ้นไทย เผย 10 วันทำการ มูลค่าซื้อรวมกว่า 8.64 หมื่นสัญญา สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักวิเคราะห์เชื่อเป็นการเปิดสถานะใหม่ สะท้อนแนวโน้มฟันด์โฟลว์จ่อไหลเข้า ด้านตลาดหลักทรัพย์แนะลงทุนระยะยาว โชว์ผลตอบแทนหุ้นไทย 13 ปี 143% ติดท็อป 4 โลก (Aspen)
- ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลง
# ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงจากเกณฑ์ร้อนแรงมาอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) โดยผลสำรวจพบว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ขณะที่นักลงทุนคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารสหรัฐ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน
-เรื่องการตอบโต้เพิ่มอัตราภาษีทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด
# นักลงทุนมีความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากการประกาศตอบโต้เพิ่มอัตราภาษีทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือความกังวลผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจในประเทศจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เป็นปัจจัยที่นักลงทุนจับตามอง
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Industry Focus
อหิวาต์แอฟริกันในสุกรอาจเป็นโอกาสในวิกฤตของผู้ประกอบการรายใหญ่
• กรมปศุสัตว์เฝ้าระวังการระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ในเขตพื้นที่ชายแดน ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านของไทย คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา มีการแพร่ระบาดของโรคนี้ไปแล้ว ประเด็นที่น่าห่วงคือ มีการทิ้งซากสุกรที่ติดเชื้อลงลำน้ำรวก เขตติดต่ออ.แม่สาย จ.เชียงราย ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ทางกรมปศุสัตว์จึงได้ประกาศให้มีจุดเฝ้าระวังเพิ่มเติมครอบคลุมจังหวัดที่อยู่แนวชายแดนที่มีความเสี่ยงว่าอาจมีการแพร่ระบาดเข้ามาได้ รวมทั้งใช้มาตรการเข้มข้นตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เช่น การขนส่งสัตว์ต้องมีใบอนุญาต, ตรวจสุขภาพสัตว์ก่อนขนย้าย, ตรวจโรงฆ่าสัตว์ ฯลฯ
• ถ้าไทยรักษาไม่ให้มีการแพร่ระบาด ASF ได้จะเป็นโอกาสส่งออกที่ดีมาก เพราะประเทศเพื่อนบ้านไม่มีเนื้อหมูส่งออกแล้ว ขณะที่ปัจจุบันไทยมีหมูขุนราว 22 ล้านตัว และแม่พันธุ์ 1.1 ล้านตัว
• อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะระบาดในบางพื้นที่ก็สูงมาก โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่มีโอกาสว่าเชื้อ ASF จะแพร่กระจายไปหลายอำเภอ เพราะมีการลักลอบนำสุกรออกไปขายนอกพื้นที่ ซึ่งกรมปศุสัตว์กำลังติดตามใกล้ชิดและดูว่าจะมีการประกาศเขตโรคระบาดหรือไม่
• เกษตรกรรายย่อยจะได้รับผลกระทบทางลบ แต่อาจเป็นโอกาสของผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น กลุ่มซีพีกลุ่มเบทาโกร กลุ่มไทยฟู้ด เป็นต้น เพราะเมื่อมีโรคระบาดเกษตรกรรายย่อยจะลด/หรือหยุดเลี้ยง ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่จะไม่หยุด และพยายามป้องกันไม่ให้โรคระบาดเข้าฟาร์ม ทำให้มีเนื้อหมูส่งขายทั่วประเทศและส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีโรคระบาดได้มากขึ้น ปัจจุบันกัมพูชานำเข้าสุกรราว 1,250 ตัว/วัน ผู้ส่งออกหลักคือ CPF และเบทาโกร ส่วนในเวียดนามก็มี CPF ที่มีธุรกิจฟาร์มสุกร ก็ได้ประโยชน์เพราะไม่ติดเชื้อและขายเนื้อหมูได้ในราคาสูง (ราคาหน้าฟาร์มอยู่ที่ 70 บาท/กก.)
• ราคาหมูในประเทศไทยขยับขึ้น ในเดือนก.ค.62 เพิ่มราว 8%YoY เป็น 130-135 บาท/กก. เพราะอุปทานที่มีแนวโน้มลดลง เราคาดว่าราคาหมูในประเทศจะยังทรงตัวสูงได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และธุรกิจหมูให้มาร์จิ้นที่ดีกับผู้ประกอบการ
• หุ้นเด่นเป็น CPF (ราคาพื้นฐาน 35 บาท) โดยคาดว่าราคาหมูที่ดีในเวียดนามและในประเทศ รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ไม่สูงจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น และหนุนผลกำไรในปี 62 ให้เติบโตแข็งแกร่ง ราคาไก่ในประเทศอ่อนลงเล็กน้อยราว 2-3% ในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.62 เป็นประมาณ 36 บาท/กก. แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ทำกำไรได้ ส่วนธุรกิจในจีน รัสเซีย ตุรกี และกัมพูชาไปได้ดี คาดการณ์ Core profit ปีนี้เติบโต 86% เป็น 13.2 พันล้านบาท(Core EPS 1.66 บาท/หุ้น) แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 35 บาท อิงกับ P/E ปี 63 ที่ 20 เท่า (+0.5SD ของ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : [email protected]