- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 11 September 2019 16:08
- Hits: 3241
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เจรจาการค้าดีขึ้น แต่บอนด์ยิลด์ขึ้นกลับถ่วง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ -5.29 จุด ปิดที่ 1665.93 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 58.3 พันล้านบาท ดัชนีฯบ้านเราปรับลงเหมือนภูมิภาคและยุโรป มีการขายทำกำไรลดความเสี่ยง รอดูผลการประชุม ECB 12 ก.ย.นี้ ขณะที่ไม่ตอบรับปัจจัยบวกเรื่อง เจรจาการค้าดีขึ้น และนักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น จากบอนด์ยิลด์ที่ปรับตัวเพิ่ม ผู้ขายสุทธิรายเดียวคือ ต่างชาติ 2.6 พันล้านบาท ส่วนซื้อสุทธิเป็น สถาบัน โบรกเกอร์ และรายย่อย ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิเพิ่มเป็น 5.2 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: เจรจาการค้าดีขึ้น บอนด์ยิลด์เพิ่ม อาจกังวลเฟดไม่ลดดอกเบี้ยระยะต่อไป จีนจะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่ม หากผ่อนคลายเรื่องหัวเหว่ย คาดหวัง ECB และเฟดยังจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับขึ้น ปัจจัยลบระยะนี้ที่บอนด์ยิลด์ปรับขึ้น อายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.7212% อาจกังวลเฟดไม่ลดดอกเบี้ยในระยะต่อไป แม้เดือนนี้ยังจะปรับลง นักลงทุนทิ้งสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตร ทองคำ ดัชนีราคาผู้ผลิตจีน ส.ค.ปรับลด ราคาน้ำมันปรับลงเช่นเดียวกับดาวโจนส์ล่วงหน้า ด้านในประเทศ รอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบต่อไป ส่งออกและท่องเที่ยว รวมทั้งการได้ปรับเพิ่มเครดิตไทย จากมูดี้ส์
# ระยะสั้นคาด SET- แม้ปัจจัยต่างประเทศหนุน แต่ถูกสกัดด้วยบอนด์ยิลด์ และแรงขายทำกำไร คาด SET ซื้อขายในกรอบ 1650-1680 จุด คาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยจะปรับขึ้นตาม ส่งผลลบต่อราคาตราสารหนี้ และสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น กลุ่ม REITs,IFF ช่วงนี้ปรับลง จึงควรระวังแรงขายทำกำไร หาจังหวะขายตัวแพง กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนเป็นรายกลุ่มและรายตัว (Selective) แนวต้านเป็น 1670-1680 จุด แนวรับอยู่ที่ 1650-1640 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม กลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำ มีพื้นฐานแข็งแกร่ง หาจังหวะทยอยสะสมได้ คือ โรงกลั่น- TOP พาณิชย์- CPALL, BJC ท่องเที่ยว- ERW,MINT ขนส่งAOT,BEM,BTS อาหาร CPF,TU,TKN สื่อสาร- ADVANC ธนาคาร,ไฟแนนซ์- KKP,TISCO, AEONTS,MTC การแพทย์- RJH,CHG นิคมฯ- AMATA, WHA ที่อยู่อาศัย- AP, ORI และสื่อ- VGI
# Stock Pick Today : STEC คาดการณ์กำไร 2H62 ไม่สดใส สาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรที่หดตัวลง จากงานในมือที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะโครงการรัฐสภาแห่งใหม่ที่มีอัตรากำไรเป็น 0% แต่ยังจะมีการประมูลงานเมกะโปรเจ็กต์มูลค่าสูงในอนาคต คาดว่าในงวดปี 63 จะมีการเปิดประมูลงานขนาดใหญ่มูลค่ารวมสูงเป็น 600พันล้านบาท คาดบริษัทมีโอกาสได้งานอีกมาก เราคาดว่าข่าวลบได้สะท้อนไปในราคาหุ้นพอควรแล้ว ขณะที่บริษัทมีงานก่อสร้างในมือที่แข็งแกร่ง และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 22.00 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆต่อ {“ปิดลบ”เหนือ“SMA10วัน” (โดยยังคงติด“แนวต้านสำคัญ” และถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่งลง”เป็นหลัก แต่“ค่าบวก” (แรงหนุนจาก“SMA10”) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1670 – 1680 (หรือ 1690) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1660” (แนวรับย่อย “1650 – 1640, หรือ 1610” จุด}
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น BBL,STEC,TOP,TASCO,PTTGC,PLANB,BEC ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ RPH,EKH,BCPG,VGI หุ้นที่หลุด List คือ NOBLE,JWD,BGC และที่ให้หาจังหวะTake profit ไม่มี
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : กลุ่มท่องเที่ยว : ช่วง 8M19 รายได้ท่องเที่ยวไทยเติบโต 3.3%YoY
Company Guide : CENTEL (ถือ -ราคาพื้นฐาน 33.75)
Flash Note : TASCO (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 25.00)
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ เจรจาการค้า : จีนจะนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่ม หากสหรัฐยอมผ่อนคลายเรื่องหัวเหว่ย
# นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากหนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานว่า จีนได้ยื่นข้อเสนอที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น หากสหรัฐยอมผ่อนคลายข้อจำกัดต่อการซื้อสินค้าของบริษัทหัวเว่ย และเลื่อนการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 ต.ค.
-จีน : ดัชนีราคาผู้ผลิต ส.ค.ปรับตัวลดลง
# นักวิเคราะห์กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงนั้น มาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนเนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีการลงทุนจำนวนมากในประเทศจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน ปรับตัวลง 0.8% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยปรับตัวลงมากกว่าเดือนก.ค.ที่ขยับลงเพียง 0.3%
+ECB: คาดจะมีการปรับลดดอกเบี้ย และออก QE เพิ่ม
# นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และประกาศรื้อฟื้นโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซน
+/- ประชุมเฟด: 17-18 ก.ย.คาดลดดอกเบี้ย 0.25% แต่ระยะยาวอาจไม่ปรับลดมาก และไม่ถี่
# นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลคาดการณ์ว่า เฟดจะจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 30-31 ก.ค. แต่ที่สำคัญคือ ทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยในระยะยาวอาจจะไม่ปรับลดมาก และความถี่น้อยลง
+/- ดาวโจนส์: ปรับขึ้น เจรจาการค้าดีขึ้น แต่ Nasdaq ลดลง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,909.43 จุด เพิ่มขึ้น 73.92 จุด หรือ +0.28% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,979.39 จุด เพิ่มขึ้น 0.96 จุด หรือ +0.03% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,084.16 จุด ลดลง 3.28 จุด หรือ -0.04%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนส่งแรงซื้อเข้าหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งปัจจัยบวกจากรายงานข่าวที่ว่า จีนได้ยื่นข้อเสนอซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ยังคงปิดในแดนลบ เนื่องจากถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
- น้ำมัน: ปรับลง ทรัมป์ปลดที่ปรึกษาด้านความมั่นคง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 45 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 57.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 21 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 62.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งปลดนายจอห์น โบลตัน ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ โดยตลาดมองว่า การปลดนายโบลตันซึ่งเป็นที่ปรึกษาสายเหยี่ยวและมีท่าทีแข็งกร้าวในประเด็นอิหร่านนั้น อาจทำให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านลดน้อยลง ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้
+ ทองคำ: ปรับลงแรง ดอลลาร์แข็งค่า บอนด์ยิลด์พุ่งกดดันตลาด
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 11.9 ดอลลาร์ หรือ 0.79% ปิดที่1,499.2 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค.
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงหลุดจากระดับ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ได้ลดความน่าดึงดูดของสัญญาทองคำซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนเทลดการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค.,สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ กระทรวงท่องเที่ยว เผยยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ม.ค.-ส.ค.62 เพิ่มขึ้น 2.61% รายได้เพิ่ม 3.04%
# กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงเดือน ม.ค.-ส.ค.62 อยู่ที่ 26.50 ล้านคน เพิ่มขึ้น2.61% สร้างรายได้ราว 1.299 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.04% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
# ข่าวดีที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมามากที่สุด ถือเป็น Top Destination ซึ่งคาดว่าปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะได้ตามเป้า คือ 40 ล้านคน (Aspen)
# ผลกระทบ: เราคาดว่าอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเร่งตัวได้มากขึ้นในเดือนถัดๆไปในช่วงที่เหลือปีนี้ผลพวงจากฐานที่ต่ำของนักท่องเที่ยวจีนเมื่อปีก่อน แม้โรงแรมแข่งขันสูง แต่โตได้จากการขยายห้องพัก อีกทั้งมีมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ Top Picks ของกลุ่มจัดลำดับให้เป็น AOT ราคาพื้นฐาน 80.00 บาท และERW ราคาพื้นฐาน 7.30 บาท เพราะจะได้รับประโยขน์เต็มที่เมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวดี
+ ครม. มีมติอนุมัติให้ขยายเวลาการใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% ออกไปอีก 1 ปี
# ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ขยายเวลาการใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% ออกไปอีก 1 ปี จากที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.62 ตามการเสนอของกระทรวงการคลัง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะกลับไปใช้อัตราเดิมที่ 10% โดยจะประเมินภาวะเศรษฐกิจในลักษณะปีต่อปีไปก่อน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้อง
+ ครม.อนุมัติมาตรการกระตุ้นการลงทุนตามที่บีโอไอเสนอ และเห็นชอบพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัล
# ที่ประชุม ครม.วานนี้ยังอนุมัติมาตรการกระตุ้นการลงทุนตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เสนอและผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
# และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย(Thailand National Digital Trade Platform) กำชับให้ทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]