- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 09 September 2019 17:07
- Hits: 4125
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“มีข่าวบวกจากเฟด จีน มาตรการกระตุ้นลงทุนไทย”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วันศุกร์ +0.27 จุด ปิดที่ 1670.06 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบางเป็น 46.7 พันล้านบาท ดัชนีฯบ้านเราปรับขึ้นแคบๆสอดคล้องกับภูมิภาค แม้มีปัจจัยบวก เรื่องการเจรจาการค้า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ฮ่องกงยังไม่จบ และมีการขายลดความเสี่ยงก่อนวันหยุด รอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ผู้ขายสุทธิรายเดียวคือ ต่างชาติ 1.5 พันล้านบาท ส่วนซื้อสุทธิเป็น สถาบัน โบรกเกอร์ และรายย่อย ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิเพิ่มเป็น 3.5 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: เฟดแถลงยังจะกระตุ้นเศรษฐกิจ จีนกระตุ้นการกู้ และไทยออกมาตรการกระตุ้นลงทุน เฟดยังจะรักษาการขยายตัวเศรษฐกิจ แม้ไม่คิดว่าอยู่ในภาวะถดถอย จีนลดสัดส่วนกันสำรองสถาบันการเงิน (RRR) ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรอ่อน แต่จูงใจเฟดลดดอกเบี้ย ตลาดพันธบัตรไม่เกิด IYC ดาวโจนส์-น้ำมันตลาดสป็อตและล่วงหน้าปรับขึ้นดี ตลาดเพื่อนบ้านเช้านี้บวกถ้วนหน้า ส่วนรัฐบาลไทยออกมาตรการกระตุ้นการลงทุน “Thailand Plus Package” ครั้งต่อไปเป็นส่งออกและท่องเที่ยว การเมืองติดตามไต่สวนคุณสมบัตินายกฯ
# ระยะสั้นคาด SET- มีโมเมนตัมปรับขึ้นได้ต่อ หลังมีปัจจัยบวกหนุน คาดซื้อขายในกรอบ 1660-1690 จุด แม้ปัจจัยไม่แน่นอนยังเป็นการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐ แต่ข่าวหนุนคือ ปัจจัยต่างประเทศเป็นบวก เฟดพิจารณาปรับลดดอกเบี้ย 17-18 ก.ย. น่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง และ กนง.ประชุม 25 ก.ย.อาจจะลดดอกเบี้ยอีกครั้ง คาดว่าหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ส่วนใหญ่จะแกว่งตัวขึ้นดี กลยุทธ์ คือ เลือกลงทุนเป็นรายกลุ่มและรายตัว (Selective) แนวต้านเป็น 1680-1690จุด แนวรับอยู่ที่ 1640-1610 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม กลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำ มีพื้นฐานแข็งแกร่ง หาจังหวะทยอยสะสมได้ คือ โรงกลั่น- TOP พาณิชย์-CPALL, BJC ท่องเที่ยว- ERW,MINT ขนส่ง AOT,BEM,BTS อาหาร CPF,TU,TKN สื่อสาร- ADVANC ธนาคาร,ไฟแนนซ์- KKP,TISCO, AEONTS,MTC การแพทย์-RJH,CHG นิคมฯ- AMATA, WHA ที่อยู่อาศัย- AP, ORI กลุ่ม REITs,IFF- AIMIRT,DREIT,HREIT,DIF และสื่อ- VGI
# Stock Pick Today : ORI แนวโน้มยังคงแข็งแกร่ง และคาด 2H62 จะยิ่งฟื้นตัวดีขึ้น จะมีคอนโดมิเนียมเสร็จโอนได้มากขึ้น ข้อดีคือ มียอดขายรอโอนสูง ทำยอดขายได้ดีแม้สภาพแวดล้อมไม่สดใส อัตราการเติบโตกำไรอยู่ในเกณฑ์ดี และปันผลดีในระดับผลตอบแทน 6% ล่าสุดจะเปิดโครงการ Mix Use “Origin SmartCity Rayong” มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท รองรับ EEC คาดว่าจะเกิดผลดีในระยะยาว คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 9.60 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 62 ที่7.7 เท่า
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เริ่มให้สัญญาณที่เป็นลบ {แม้“ทำHigh” และ“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน” (แต่ก็“ปิดต่ำ” /ติด“แนวต้านสำคัญ” และถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯสัปดาห์นี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก” จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1680 (หรือ 1690) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1660” (แนวรับย่อย “1640, 1610 หรือ 1590 – 1580” จุด}
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น SCC,BGRIM,JMT,MEGA,EKH ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ ROJNA,GLOBAL,TOA,RPH หุ้นที่หลุด List คือ FPT,KBANK,SAWAD,TU และที่ให้หาจังหวะTake profit SISB,ANAN
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
STOCK in Focus : AMATAR (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 14.10)
Company Guide : ANAN (ถือ -ราคาพื้นฐาน 3.40)
SENA (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 3.71)
Turnover List Watch : ไม่มีหลักทรัพย์ใดติด Cash Balance ส่วน DOD-W1 หลุด
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ เฟด : จะยังคงดำเนินการที่เหมาะสมต่อไปเพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
# ตลาดปรับตัวรับการกล่าวสุนทรพจน์ของนายพาวเวลที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยเขาระบุว่า ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน กำลังถ่วงการตัดสินใจด้านการลงทุนของบริษัทต่างๆ
# CNBC รายงานการเปิดเผยของนายพาวเวลว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าทำให้บางบริษัทชะลอการลงทุน
# นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และเฟดจะยังคงดำเนินการที่เหมาะสมต่อไปเพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกไม่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
-/+ สหรัฐ: การจ้างงานนอกภาคการเกษตรออกมาอ่อน
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 150,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7% ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
+ ประชุมเฟด: 17-18 ก.ย.คาดลดดอกเบี้ย 0.25%
# ความเห็นของนายพาวเวลและตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ได้เพิ่มแนวโน้มที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนนี้
# นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลคาดการณ์ว่า เฟดจะจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 30-31 ก.ค.
+ จีน: กระตุ้นเศรษฐกิจ ลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) ลง
# ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศเมื่อวันศุกร์ว่า PBOC จะลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) ลง 0.50% นับตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจจีน
+ ตลาดหุ้นยุโรป: ปรับขึ้นวันศุกร์ แม้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมันลดลง แต่รับข่าวจีน
# ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (6 ก.ย.) โดยบวกขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนขานรับจีนดำเนินมาตรการกระตุ้นการปล่อยกู้ของภาคธนาคาร ซึ่งได้ช่วยหนุนความเชื่อมั่นในตลาด แม้สหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่ชะลอตัวเกินคาด และเยอรมนีเปิดเผยข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงก็ตาม
+ ดาวโจนส์: ปรับขึ้น รับข่าวสุนทรพจน์เฟด และจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,797.46 จุด เพิ่มขึ้น 69.31 จุด หรือ +0.26% และ ดัชนี S&P500 ปิดที่2,978.71 จุด เพิ่มขึ้น 2.71 จุด หรือ +0.09% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,103.07 จุด ลดลง 13.75 จุด หรือ -0.17%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ก.ย.) หลังจากนักลงทุนปรับตัวรับการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งเพิ่มแนวโน้มที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ขณะที่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนก็ได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย
+ น้ำมัน: ปรับขึ้นเล็กน้อย สะท้อนข่าวเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย และแท่นขุดเจาะลดลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 56.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 61.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนนี้ และจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลง
+ ทองคำ: ปรับลงต่อ เฟดให้ความเห็นเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 10 ดอลลาร์ หรือ 0.66% ปิดที่1,515.5 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันเมื่อวันศุกร์ (6 ก.ย.) หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งลดความต้องการทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ: ครม.เศรษฐกิจมีมติเห็นชอบแพ็คเกจ Thailand Plus Package
# ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) มีมติเห็นชอบแพ็คเกจ Thailand Plus Package ตามข้อเสนอของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้งมาตรการภาษี การพัฒนาบุคคลากร ปรับปรุงกฎระเบียบด้านการลงทุน และเร่งรัดให้ได้ข้อสรุปเรื่องการเจรจาเอฟทีเอ พร้อมทำตลาดเชิงรุก เพื่อเร่งรัดการลงทุนและรองรับการย้ายฐานการผลิตสืบเนื่องจากผลกระทบสงครามการค้า จำนวน 7 ด้าน
+ มาตรการกระตุ้นการส่งออกและท่องเที่ยวเสนอการประชุมครั้งหน้า
# ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการส่งออกจะนำเสนอในการประชุมครั้งหน้า รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านท่องเที่ยว ซึ่งหากผู้รับผิดชอบดำเนินเสร็จทันจะเสนอให้ที่ประชุมฯ พิจารณาในสัปดาห์หน้า
-กลุ่มขนส่ง: คมนาคมถกถกแนวทางลดค่าโดยสารขนส่งระบบรางคาดเริ่มใช้ภายในปลายปีนี้
# อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารการขนส่งทางราง ว่า ได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ให้บริการรถไฟฟ้าทั้งหมดมาร่วมพิจารณาแนวทางการส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางในระบบขนส่งมวลชนโดยมีการลดภาระค่าครองชีพด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทาง มี 2แนวทางคือ 1.การส่งเสริมการใช้ตั๋วเดือน (จำกัดจำนวนเที่ยว) และ 2.การส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางในช่วงเวลาที่ความจุของรถไฟฟ้าไม่เต็มประสิทธิภาพ (Non-Peak hours)
# ผลกระทบ: ในรายของ BEM และ BTS ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะเป็นโครงการที่เอกชนลงทุนทั้งหมด หากต้องลดค่าโดยสาร แต่จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มได้ไม่มาก ก็จะไม่คุ้ม และมีผลลบกับผลประกอบการได้
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]