- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 05 September 2019 16:16
- Hits: 2486
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง :Daily Strategy
เมื่อวานที่ผ่านมา SET แกว่งขึ้น ขานรับจิตวิทยาเชิงบวกจากผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกงถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ตลาดมีแรงซื้อมากในหุ้น AOT, BTS, CPALL, HMPRO, BJC ขณะที่ยังคงมีแรงขายในกลุ่ม Bank โดย ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,658 (+16 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.4 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้าที่ 6.1 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 880 ล้านบาท (นักลงทุนสถาบันซื้อ 736 ล้านบาท) และเปิด Long Futures ที่ 15,064 สัญญา
SINGER (ราคาเป้าหมาย 10.40 บ/หุ้น) คาดแนวโน้มกำไร 3Q62 ขยายตัว 15-20%YoY โดยจะเป็นไตรมาสแรกที่เห็นพอร์ต C4C กลับมาโต และจะชัดขึ้นใน 4Q62 ประเมินสิ้นปีพอร์ต C4C และพอร์ตสินเชื่อรวมที่ 2,000 และ 4,000 ล้านบาท ส่วนใบอนุญาตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจาก ธปท. คาดจะได้ในเดือน กย. 62 เพิ่มโอกาสปรับ Loan Yield ในช่วงถัดไป ด้าน Valuation เทรด PE 20 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 22-25 เท่า
สถานการณ์อังกฤษและฮ่องกงผ่อนคลายมากขึ้น: วานนี้รัฐสภาอังกฤษโหวตผ่านร่างกฎหมายป้องกันการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีการทำข้อตกลง หรือ "no-deal Brexit" ด้วยคะแนนเสียง 327 ต่อ 299 เสียง ส่งผลให้เส้นตายของประเด็น Brexit มีโอกาสเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 31 มค. 63 จากเดิมวันที่ 31 ตค. 62 หากนายกรัฐมนตรีไม่สามารถยื่นข้อเสนอ Brexit ฉบับใหม่ได้ภายใน 19 ตุลาคมนี้ โดยการผ่อนคลายนี้ช่วยเพิ่มจิตวิทยาเชิงบวกต่อการลงทุนมากขึ้น สอดคล้องกับวานนี้การประท้วงในฮ่องกงที่มีสัญญาณดีขึ้น จากการที่นางแคร์รี หล่ำ ผู้ว่าเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกาศจะถอนร่างญัตติแก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปให้กับจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเป็นทางการ ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนตลาดสินทรัพย์เสี่ยงคลายความกังวลช่วงสั้น ส่วนปัจจัยในประเทศ ยังคงแนะติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.16 แสนล้านบาท ว่าจะสามารถช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยเพียงใด และแนะจับตาเพิ่มเติมสำหรับการประชุม ครม.เศรษฐกิจรอบ2 ที่จะจัดขึ้นวันศุกร์นี้ (6 กย.) ว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมทางด้านการส่งเสริมการลงทุน หรือ การกระตุ้นภาคการส่งออก ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้หรือไม่
Investment Theme : สัปดาห์นี้ประเมินกรอบการแกว่ง SET ที่ 1,620-1,665 จุด จังหวะย่อตัวทยอยตั้งรับ เน้นสะสมหุ้นในกลุ่ม Domestic Plays (ค้าปลีก, โรงไฟฟ้า, โรงพยาบาล, นิคมฯ, ท่องเที่ยว, สื่อสาร)
เมื่อคืนที่ผ่านมา :
oสภาอังกฤษผ่านกฎหมายสกัด No-deal Brexit
oฮ่องกงเตรียมถอนร่างญัตติแก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปให้กับจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเป็นทางการ
oดัชนี Caixin China PMI ภาคบริการ ที่ 52.1 จุด ดีกว่าคาดที่ 51.7 จุด
oดัชนี Eurozone PMI ภาคบริการ ที่ 53.5 จุด ดีกว่าคาดที่ 53.4 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
1)มีหุ้น: จังหวะ Rebound แนะนำขายเล่นรอบบางส่วนที่แนวต้าน 1667/1680 แต่หากผิดคาดหลุด 1645 แนะนำ Lock Profit
2)ไม่มีหุ้น: จังหวะย่อตัวไม่หลุดแนวรับที่ 1645-1650 อาจซื้อเพื่อเล่น Rebound
AOT
ความเห็น : สัญญาสัมปทาน พื้นที่เชิงพาณิชย์ ของสนามบินดอนเมืองจะครบกำหนดปี 2565 ส่วนสัญญาจุดรับส่งสินค้า (pick up counter) ของสนามบินสุวรรณภูมิจะครบกำหนดปี 2563 ดังนั้นคาดว่า จะมีการเปิดประมูลในช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ขั้นต่ำ (minimum guarantee) ส่งผลให้รายได้ส่วน non-aero เพิ่มขึ้น ส่วนจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% ในเดือน ส.ค. สะท้อนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว เรายังคงแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 85 บาท
BJC
ความเห็น : เรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดยอดขายปีนี้เติบโต 6% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายใหม่ของบริษัท โดยคาดกำไร 2H62 ดีกว่า 1H62 ตามผลของฤดูกาล และลูกค้าใหม่เริ่มสั่งซื้อกระป๋องทดแทนการยกเลิกคำสั่งซื้อของคาราบาว แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 64 บาท
PTTGC
ความเห็น : เรามองการลงทุนโครงการพลาสติกรีไซเคิลเป็นกลยุทธ์สร้างโอกาสต่อยอดการเติบโตในระยะยาวมากกว่าช่วยหนุนผลประกอบการในระยะสั้น เนื่องจากขนาดกำลังการผลิตที่เล็กเทียบกับกำลังการผลิตปัจจุบันของ PTTGC แต่ทิศทางการใช้พลาสติกในอนาคตมีโอกาสเติบโตเพิ่มมากขึ้น เรามีมุมมองเป็นกลางต่อประเด็นข่าวนี้ ระยะสั้นแรงกดดันจากสงครามการค้ายังกดดันหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ทั้งโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ เราแนะนำ ทยอยสะสม สำหรับการลงทุนระยะยาวจาก Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำ ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ราคาเป้าหมาย 67 บาท
TASCO
ความเห็น : ปกติงบซ่อมแซมถนนจะมียอดใช้ยางมะตอยประมาณ 7-10% ของมูลค่างาน ดังนั้น ถ้าหากถนนของกรมทางหลวง และ กรมทางหลวงชนบทเสียหายรวม 2.2-2.3 พันล้านบาท จะมีการใช้ยางมะตอยประมาณ 220-230 ล้านบาท โดย TASCO จะมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 40% จะช่วยเพิ่มยอดขายให้ TASCO ประมาณ 88-92 ล้านบาท ซึ่งไม่มากนักเมื่อเทียบกับยอดขายรายไตรมาสประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ราคาหุ้นปัจจุบันใกล้เป้าหมาย 22 บาท แนะนำ TRADING BUY ในช่วงอ่อนตัว