เมื่อวานที่ผ่านมา SET ย่อสร้างฐาน โดยมีแรงขายมากในกลุ่ม Big cap เช่น GULF, PTT, CPALL, SCB, KBANK ขณะที่มีแรงซื้อมากในกลุ่ม ICT (ADVANC, INTUCH, DTAC) ณ.สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,642.25 (-11 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.1 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้าที่ 5.3 หมื่นล้านบาท)

 

โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 1,541 ล้านบาท (นักลงทุนสถาบันขาย 1,069 ล้านบาท) แต่เปิด Long Futures ที่ 3,979 สัญญา

 

ERW (ราคาเป้าหมาย 8.0 บ/หุ้น) คาดได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยในช่วง 2H62 จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ ผสานการเปิดโรงแรมใหม่ 9 แห่งในช่วงครึ่งหลังของปี (Hop Inn 7 แห่ง, 3 ดาว 2 แห่ง) ด้าน Valuation เทรดระดับ PE 25 เท่า ต่ำกว่า ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปีที่ 35 เท่า

 

ดัชนีภาคผลิตสหรัฐหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี: วานนี้สหรัฐฯรายงานดัชนี ISM ภาคการผลิต เดือน สค. ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.1 จุด ต่ำกว่าคาดที่ 51.3 จุด ทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี จากยอดสั่งซื้อใหม่, การผลิต และการจ้างงานที่ลดลง โดยดัชนีหลุดระดับ 50 จุดสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะหดตัว เพิ่มความกังวลต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง แต่ในทางกลับกันอาจเปิดโอกาสให้ FED จำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิมได้ ส่วนทางด้านสถานการณ์อังกฤษ วานนี้พรรคฝ่ายค้าน ชนะการโหวตด้วยคะแนนเสียง 328 : 301 เสียง เป็นก้าวแรกที่จะทำให้อังกฤษพ้นจากการออกจากกลุ่มสหภาพยุโรปแบบไร้ข้อตกลง (No deal Brexit) โดยวันนี้จะมีการโหวตอีกครั้งเพื่อกดดันให้เสนอการขยายระยะเวลาเส้นตาย Brexit จากเดิมวันที่ 31 ตค. นี้ ออกไปเป็น 31 มค. 2563  ส่วนปัจจัยในประเทศ หลังจากช่วงปลายเดือน สิงหาคม ที่ผ่านมาภาครัฐฯ ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 3.16 แสนล้านบาท คงต้องติดตามว่านโยบายดังกล่าวจะสามารถช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยเพียงใด และแนะจับตาเพิ่มเติมสำหรับการประชุม ครม.เศรษฐกิจรอบ2 ที่ จะจัดขึ้นวันศุกร์นี้ (6 กย.) ว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมทางด้านการส่งเสริมการลงทุน หรือ การกระตุ้นภาคการส่งออก ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้หรือไม่       

 

Investment Theme : สัปดาห์นี้ประเมินกรอบการแกว่ง SET ที่ 1,620-1,665 จุด จังหวะย่อตัวทยอยตั้งรับ เน้นสะสมหุ้นในกลุ่ม Domestic Plays (ค้าปลีก, โรงไฟฟ้า, โรงพยาบาล, นิคมฯ, ท่องเที่ยว, สื่อสาร)