- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 26 August 2019 16:26
- Hits: 3301
บล.เออีซี : Daily Focus
AECS Daily Focus
--------------
Market Outlook
• วันนี้มอง SET Index แกว่งลงตามตลาดโลกจากประเด็นสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ โดยทั้งสหรัฐและจีนต่างเพิ่มระดับมาตรการตอบโต้ทางภาษีระหว่างกันสร้างความกังวลต่อตลาดและนักลงทุน คาด SET มีแนวรับระหว่างวันที่ 1,615 และ 1,600 จุดตามลำดับ
• Market Factor
• (-) สงครามทางการค้าเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเป็น 30% จาก 25% ในมูลค่าสินค้าจีน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. และเพิ่มเป็น 15% จาก 10% ในมูลค่าสินค้าจีน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย.บางส่วนและ 15 ธ.ค.
• (-) ประธานาธิบดีสหรัฐฯนายโดนัลด์ทรัมป์ประกาศให้บริษัทสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจในจีนย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน
• (-) การประชุม G-7 ที่เมืองบิอาร์ริตซ์ประเทศฝรั่งเศสมีการเข้าใจผิดว่าทรัมป์อาจไม่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนมากไปกว่านี้อย่างไรก็ดีภายหลังมีการแถลงว่าเป็นการเพิ่มภาษีจีนให้มากกว่านี้
• (-) การกล่าวสุทรพจน์ของประธานFed นายเจอโรมพาลเวลที่ Jackson Hole ไม่ได้ระบุถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยเพียงแต่กล่าวถึงจะดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อรักษาสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีจากCME FedWatch มีโอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 17-18 ก.ย. ถึง81.2%
• (+) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI เตรียมออกมาตรการฐานเพื่อกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่าน 3 แผนหลัก ดังนี้ 1) ออกแพ็กเกจรีโลเกชั่นพร้อมให้สิทธิประโยชน์อื่นที่มากกว่าด้านภาษี 2) ตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อดึงนลท.ที่กำลังจะย้ายฐานการผลิตมาไทย รวมถึงนลท.ที่จะไปลงทุนในประเทศอื่น 3) จัดกิจกรรมการตลาดด้วยการ Road show โดยดึงภาคเอกชนและสถาบันการเงินเข้าร่วม เพื่อสนับสนุนแหล่งเงินทุน (ปะชาชาติธุรกิจ)
• (-) Consensus ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 62 ที่ 115.14 บาท ขณะที่ปัจจุบันเหลือเพียง 101.01 บาท หรือลดลง 12.27%YTD
• Update Flow เมื่อวานศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติพลิกซื้อในตลาดหุ้นไทย 1,527.20 ลบ.ส่งผลภาพรวม MTD ต่างชาติขายสุทธิอยู่ที่ 48,539.37 ลบ. (สวนทางกับรายย่อยและสถาบันที่ซื้อสุทธิรวมกัน 56,969.50 ลบ.)
• Investment Strategy
• สัปดาห์นี้เรากลับมามีมุมมองเป็นลบอีกครั้ง โดยประเมินกรอบ SET Index รายสัปดาห์ จะเปิด Downside Risk ลงมาที่แนวรับที่ 1,590 และแนวต้าน 1,650 จุด โดยมีปัจจัยกดดันจากปัจจัยต่างประเทศหลังประเด็น Trade war ระหว่างสหรัฐฯ-จีนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ขณะที่ยังขาดปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากในประเทศ อย่างไรก็ดีเราแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุน ถือเงินสดมากขึ้น และทยอยเลือกหุ้นรายตัวในหุ้นหลัก 3 กลุ่ม ดังนี้
• หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นศก.ของรัฐฯ: เรามองว่า ครม. ชุดใหม่ที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจะเร่งออกนโยบายกระตุ้น ศก. ในระยะสั้นเพื่อพยุง ศก. เราจึงแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ BJC (ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัวHoHจากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigC ราว 200 สาขา), SEAFCO (แม้ช่วง 2H62 คาดรับรู้งานลดลง แต่ยังมี Backlog 2.3 พัน ลบ. คาด Secured Revenue 100% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บวกกับยังมี Upside Risk จากงานประมูลใหม่อีก 1.9 หมื่น ลบ.), CPALL (ช่วง 3Q62 แม้เข้าสู่ Low Season แต่ด้วยการจัดโปรโมชั่น แสตมป์จัดหนักกระตุ้นยอดขาย และการได้ประโยชน์จากฐานที่ต่ำปีก่อนจะหนุน SSSG เติบโตต่อเนื่อง พร้อมยังคงเป้าขยายสาขาร้านสะดวกซื้อปีนี้ที่ 700 สาขา) และ ERW (แม้ช่วง 2Q62 กำไรปกติหดตัว แต่คาดฟื้นในช่วงครึ่งปีหลังจากปัจจัยฤดูกาล บวกกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจาก ครม.)
• กลุ่ม Defensive Stock: เราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (ช่วง 2H62 คาดกำไรสุทธิมีแนวโน้มโตต่อ หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถ มินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.
• กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสม โดยเน้นหุ้นที่กำไรช่วง 2Q62 คาดโต YoYและช่วง 2H62 โตต่อ แนะนำSAWAD (คาดกำไรปี62 โต30.8%YoY หนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต20-30% พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 300 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นโดยล่าสุด SAWAD รายงานการถือครองหุ้น BFIT หลังTender Offer ที่82.04% บวกกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร), SELIC (คาดปี62 เห็นการTurnaround ของกำไรสุทธิหลังเริ่มรวมงบการเงินกับPMCT ซึ่งคาดเห็นSynergy ชัดเจนขึ้นตามลำดับทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าใหม่และการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่อีกทั้งยังไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจมากเช่นปีก่อน), III (ช่วง 2Q62 กำไรโต 45.8%YoY หนุนด้วยธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ บวกกับมีส่วนแบ่งกำไรที่โต 364%YoY จากธุรกิจที่เข้าซื้อกิจการสิงคโปร์และฮ่องกงในปี 61-62 ตามลำดับ) และ ARROW (ช่วง 2Q62 กำไรโต YoYหลังมาร์จิ้นเริ่มฟื้นตัวจากต้นทุนเหล็กที่ลดลงและนโยบายการปรับราคาขายที่ดี จึงปรับเพิ่มประมาณการคาดปี 62 กำไรทั้งปีโต 10.3%YoY)
23-Aug-19 Change (pts.) 22-Aug-19
SET Index 1,646.68 13.12 1,633.56
SET50 Index 1,088.69 10.81 1,077.88
SET100 Index 2,406.15 22.69 2,383.46
High 1,646.74 Gainers 864
Low 1,636.20 Unchanged 501
Value (Bt m) 51,082.72 Losers 627
Volume (*000) 18,467,058
Market Valuation
SET Data 2018F 2019F Long Term
Fwd PER (x) 15.9 14.3 14.3
EPS Growth (%) 13.9 9.3 1.8
EV/EBITDA (x) 10.9 10.0 9.6
FWD PBV (x) 1.8 1.7 1.6
Dividend Yield (%) 3.1 3.5 3.7
ROE 11.0 11.2 11.2
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 23-Aug-19 WTD MTD YTD
Institution 1,348.56 10,166.52 29,690.15 26,512.96
Proprietary (318.90) (1,006.74) (8,430.10) 10,106.86
Foreign 1,527.20 (8,049.99) (48,539.37) 12,163.43
Individual (2,556.86) (1,109.79) 27,279.31 (48,783.24)
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364) [email protected]
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary