- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 20 August 2019 16:00
- Hits: 2792
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ปัจจัยต่างประเทศสดใส แต่ต่างชาติยังขายต่อเนื่อง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ +5.86 จุด ปิดที่ 1637.26 จุด มูลค่าการซื้อขายบางลงเป็น 57.9 พันล้านบาท ดัชนีฯ บวกจากคลายความกังวลเรื่อง InvertedYield Curve และหลายประเทศมีนโยบายกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งมีโมเมนตัมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ผู้ซื้อสุทธิรายเดียวคือ สถาบัน 5.7 พันล้านบาทส่วนขายสุทธิเป็นต่างชาติ 4.1 พันล้านบาท รายย่อย 1.0 พันล้านบาท และโบรกเกอร์ 0.6 พันล้านบาท ตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิเป็น 44.6 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์คือ
# ปัจจัยสำคัญ: บวกจากจีน-เยอรมันมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ สหรัฐขยายเวลาให้หัวเหว่ยอีก 90 วัน ดาวโจนส์และน้ำมันปรับขึ้นดี มีแรงขายทองคำเข้าสินทรัพย์เสี่ยง บอนด์ยิลด์ 10 ปีปรับดีขึ้น ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแต่อัตราไม่มาก เงินบาทแข็งค่า มีโมเม็นตัมดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ดัชนีความกังวล (Vix) ปรับลดลงเป็น 16.88 จุด ด้านปัจจัยลบเดิมๆคือ ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง MSCI ลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทย และดัชนีเป้าหมายถูกปรับลง หลัง 2Q ไม่ดี
# ระยะสั้นคาด SET-มีโมเมนตัมดีต่อเนื่อง ปัจจัยต่างประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดี คาดมีแรงเก็งกำไรเข้ามาต่อจากเมื่อวาน โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ คาด SETอยู่ในกรอบ 1630-1660 จุด กลยุทธ์ คือ ซื้อสะสม แนวต้านเป็น 1640-1660 จุด แนวรับที่ 1590-1580 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม ส่วนกลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำเป็น Domestic Play พื้นฐานแข็งแกร่ง ได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ แต่หาจังหวะทยอยสะสมได้ คือ พาณิชย์- CPALL, BJCท่องเที่ยว- ERW,MINT ขนส่ง AOT อาหาร CPF,TU,TKN สื่อสาร- ADVANC ไฟแนนซ์- KKP,TISCO, TCAP และสื่อ- VGI แต่หุ้นรับเหมา ระยะนี้ควรชะลอลงทุนเพราะ กำไร 2Q62 ส่งสัญญาณไม่ดี และเมกะโปรเจ็กต์ขาดช่วง วันนี้อาจมีการเก็งกำไรหุ้นที่เกี่ยวข้องกับหัวเหว่ยโดยตรงคือ HANA และ SYNEX ส่วนวันพรุ่งนี้คาดSUEREIF เข้าซื้อขายวันแรก จะมีการซื้อขายคึกคัก
# Stock Pick Today : BEM ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นดี หลังมีข่าว การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ยืนยันเรื่องการขยายเวลาทางด่วนออกไป 30 ปี เพื่อแลกคดีจ่ายค่าเสียหาย คดีฟ้องร้อง ไม่รื้อคุยใหม่ อีกทั้งอยู่ในช่วงให้ประชาชนทดลองใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง – บางแค ซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก เมื่อเปิดให้บริการจริง คาดว่าจะเป็นผลดีกับ BEM นอกจากจะมีรายได้การบริหารเดินรถเพิ่มขึ้นแล้ว ก็จะสามารถเพิ่มผู้โดยสารเข้ามาในระบบสัมปทานปัจจุบันได้มากขึ้นอีก คงคำแนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 11.80 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เป็น(แค่)บวกเล็กๆ {“ปิดบวก”ใต้“SMA10 วัน” (โดยถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก” จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1640 –1650 (หรือ 1660) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1630” (แนวรับย่อย “1590 – 1580 / 1560” จุด}
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น SCCC,AP,GPSC,PTTGC,BEM,AOT ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT,COM7,DIF,CPF หุ้นที่หลุดNETBAY และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น SCC,BBL,KBANK
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : MINT (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 46.00)
Flash Note : BTS (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 13.00)
TMT (ถือ -ราคาพื้นฐาน 5.80)
In The News : อุตสาหกรรมสื่อทีวี ดิจิตัล
GFPT (ถือ -ราคาพื้นฐาน 20.10)
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ จีน-เยอรมัน: มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
# ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศใช้แผนการปรับปรุงและปฏิรูปกลไกในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ loan primerate (LPR) เพื่อทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทเอกชนปรับตัวลดลงและจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งข่าวที่ว่า รัฐบาลเยอรมนีมีแผนที่จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 5 หมื่นล้านยูโร
+ สหรัฐ : บอนด์ยิลด์ยาว ปรับตัวดีขึ้น คลายกังวลเศรษฐกิจชะลอ
# การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 1.527% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.615% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้นสู่ระดับ2.105%
+ สงครามการค้า: รัฐบาลสหรัฐขยายระยะเวลาแบนบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี
# รัฐบาลสหรัฐขยายระยะเวลาในการอนุญาตให้บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐได้อีก 90 วันเพื่อให้หัวเว่ยสามารถให้บริการต่อลูกค้าที่มีอยู่ในขณะนี้ ขณะที่ใบอนุญาตเดิมได้หมดอายุลงเมื่อวานนี้
+/- เฟด: ติดตามสุนทรพจน์ในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล เริ่ม 23 ส.ค.62
# นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง ในวันที่ 23 ส.ค. เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 21.00 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นายพาวเวลจะใช้เวทีการประชุมดังกล่าว เพื่อส่งสัญญาณถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขณะที่มีการคาดการณ์ว่า นายพาวเวลจะส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.
+ ดาวโจนส์: ทะยาน รับข่าวจีน-เยอรมันกระตุ้นเศรษฐกิจ สหรัฐขยายเวลาแบนหัวเว่ย
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,135.79 จุด พุ่งขึ้น 249.78 จุด หรือ +0.96% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,923.65 จุด เพิ่มขึ้น 34.97 จุด หรือ +1.21% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,002.81 จุด เพิ่มขึ้น 106.82 จุด หรือ +1.35%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวจีนและเยอรมนีออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข่าวสหรัฐขยายเวลาในการอนุญาตให้บริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีของจีน สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐได้อีก 90 วัน
+ น้ำมัน: ปรับขึ้น จากความไม่สงบในซาอุดิอารเบีย
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. พุ่งขึ้น 1.34 ดอลลาร์ หรือ 2.44% ปิดที่ 56.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ 1.88% ปิดที่ 59.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (19 ส.ค.) หลังจากมีรายงานว่า กลุ่มกบฎฮูตีของเยเมนได้ใช้โดรนโจมตีบ่อน้ำมันทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
+ ทองคำ: ปรับลง หลังตลาดหุ้นทะยาน และดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 12 ดอลลาร์ หรือ 0.79% ปิดที่1,511.60 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะที่ปลอดภัยหลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำ
• ติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค., รายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต,ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค.จาก Conference Board และยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ รมว.คลัง มั่นใจ GDP ปีนี้ยังโตได้ 3% รับแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ Q2/62 ออกมาต่ำ
# นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยว่า ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3% แม้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2/62 ขยายตัวที่ 2.3% ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ และเป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลต้องมีการออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตต่อไปได้
# โดยในวันนี้กระทรวงการคลังเตรียมเสนอครม.พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะออกมาเริ่มใช้ได้ ปลายส.ค.-ต้นก.ย. โดยเชื่อว่า หากครม.เห็นชอบตามวงเงินที่เสนอ 3.16 แสนล้านบาทจะช่วยกระตุ้น GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.55% ทำให้ยังมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
-สภาพัฒน์ ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือโต 2.7-3.2% จากเดิม 3.3-3.8%, ปี 63 โต 3.0-4.0%
# สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 62 เหลือเติบโต 2.7-3.2% จากเดิมที่ก่อนหน้านี้คาดไว้ 3.3-3.8% หลังครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 2.6% ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าคาดว่าจะลดลง -1.2% จากคาด 2.2% มูลค่านำเข้า -1.6% จากเดิมคาด 3.5% การลงทุนรวมขยายตัว 3.8%จากคาด 4.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.7 -1.2% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 5.9% ของ GDP
# ส่วนปีหน้าสภาพัฒน์ คาดเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในช่วง 3.0-4.0% หรือค่ากลางที่ 3.5%
-ธปท.เผย GDP ไตรมาส 2/62 ต่ำกว่าคาด มองระยะต่อไปต้องพึ่งใช้จ่ายในปท.-มาตรการกระตุ้นศก.จากภาครัฐ
# สำหรับระยะต่อไป ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายในประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยจะมีการประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจและเผยแพร่อีกครั้งในรายงานนโยบายการเงินฉบับเดือนกันยายน 2562
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]