WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

NOMURAEquity Play of the day:บล.โนมูระ พัฒนสิน
 
“Domestic Play”  
 
CNS Daily Strategy : คาดตลาด “ขึ้น” ต้าน 1640/1647จุด รับ 1619/1614จุด ประเด็นการค้ามีสัญญาณบวก หลังสหรัฐฯอาจขยายเวลาให้ Huawei สั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯได้อีก 90 วัน ขณะที่การเรียกเก็บภาษีจีนนั้นเริ่มส่งผลกระทบต่อบริษัทสหรัฐฯเอง โดยบริษัท Apple เผยว่าคู่แข่งอย่าง Sumsung ได้ประโยชน์เนื่องจากไม่โดนภาษี อาจจะเป็นจุดที่ทำให้ Trump เริ่มหันมา Concern มากขึ้น นอกจากนี้ Nomura เปลี่ยนมุมมอง โดยประเมิน FED จะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. (เดิมคาดต.ค.) สะท้อนเศรษฐกิจโลกจะได้แรงหนุนจากมาตรการผ่อนคลายเร็วขึ้น วันนี้แนะ Theme: “Domestic Play” : INTUCH, JMART, SABINA
 
Nomura : Key Factors
• (+) Trade: สหรัฐฯอาจขยายเวลาให้ Huawei สามารถสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯได้อีก 90 วัน
• (*) Trade: การเรียกเก็บภาษีจีนนั้นเริ่มส่งผลกระทบต่อบริษัทสหรัฐฯเอง โดยบริษัท Apple เผยว่าคู่แข่งอย่าง Sumsung มีความสามารถในการแข่งขันมากกว่า เนื่องจากไม่โดนภาษี
• (+) US: Nomura เปลี่ยนมุมมอง ประเมิน FED จะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. (เดิมคาดต.ค.)
• (*) TH: 159 บริษัทที่มีคาดการณ์จาก Cons รายงานกำไรรวม 1.81แสนลบ. ต่ำคาด 4.2%
• (*) TH: จับตา GDP 2Q19 Consensus คาดที่ 2.3% ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนที่ 2.8%
• (*) Fund Flow: ขายหุ้น -5,069 ลบ, Long Future +10,012 สัญญา, ขาย Bond -1,668ลบ
 
Nomura Daily Top Picks: INTUCH, JMART, SABINA
 
Equity Daily Outlook : คาดตลาด “ขึ้น” ต้าน 1640/1647จุด รับ 1619/1614จุด ความคืบหน้าประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯจีน ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอาจจะขยายระยะเวลาในการอนุญาตให้ Huawei สามารถสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐได้อีก 90 วัน (จากเดิมเส้นตายวันนี้) เพื่อที่ Huawei จะสามารถให้บริการลูกค้าที่มีอยู่ได้ ประกอบกับการเจรจาผ่านทางโทรศัพท์ของคณะทำงานของสองประเทศมีแนวโน้มที่ดี ทำให้แรงกดดันจากประเด็นการค้าลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนนั้น เริ่มส่งผลกระทบเชิงลบกับบริษัทส่วนใหญ่ของสหรัฐฯเอง โดยล่าสุด Tim Cook CEO บริษัท Apple ได้หารือกับปธน. Trump โดยแสดงความกังวลว่าการเก็บภาษีดังกล่าว ทำให้คู่แข่งอย่าง Sumsung ได้ประโยชน์ เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบทางภาษีอย่าง Apple ผสานกับ FED สาขานิวยอร์กเผย การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งกดดันผลประกอบการของกลุ่มผู้ผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ คาดจะเป็นจุดที่ทำให้ปธน. Trump เริ่ม Concern ในการจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจีน วงเงิน 3 แสนล้านเหรียญได้ ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนจากประเด็นการค้า ทำให้ล่าสุด Nomura ทำการปรับเปลี่ยนมุมมอง โดยให้น้ำหนักที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. (เดิมคาดต.ค.) สะท้อนเศรษฐกิจโลกจะได้แรงหนุนจากมาตรการผ่อนคลายเร็วขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลกเด่น ส่วนสำหรับตลาดหุ้นไทยวันนี้ ประเด็นหลักที่นักลงทุนจับตา คือการรายงาน GDP 2Q19 ซึ่ง Consensus คาดที่ 2.3% ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนที่ 2.8% ผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวกระทบอัตราการส่งออก
 
Asset allocation : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำลงทุนในหุ้น 82.5% ทองคำ 12.5% ตลาดบอนด์ 5% และเงินสด 0%
 
Daily Strategy :  ถือหุ้น 82.5% แนะนำ “Domestic Play”
1. Property : ผ่อนปรน LTV หนุนกลุ่มตลาดกลาง-ล่าง PSH, SPALI, AP เด่น
2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1. บรรเทาช่วยเหลือเกษตรกรและชาวไร่ วงเงินรวม 2.10แสนล้านบาท และ 2.ดูแลปรับเพิ่มสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ และ 3.กระตุ้นการอุปโภคบริโภคและการลงทุนในประเทศ เช่น กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรองใช้เงิน 15,000 ล้านบาท และยังเตรียมต่ออายุวีซ่าด่านตรวจคนเข้าเมือง Visa On arrival (VOA) และยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีน อินเดีย บวกต่อกลุ่มการบริโภค(CPALL, BJC, GLOBAL, DOHOME, SABINA, KAMART) และกลุ่มท่องเที่ยว/โรงพยาบาล(AOT, MINT, ERW, BH)
3. กลุ่มงบดี และมี Outlook บวก GUNKUL, JMART, CPF, TOA, SABINA
4. การลดดอกเบี้ย -0.25% ของไทย และมีโอกาสลดอีกครั้ง -0.25% ในเดือน กย 2019เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น และกลุ่มที่ได้อานิสงค์บวก ได้แก่ 1) Consumer Finance: SAWAD,  AMANAH, JMART 2) High Yield: ADVANC, INTUCH, KKP 3) Property: AP, SPALI 4) ส่งออกอาหาร : CPF, TU(cover short) 5) ท่องเที่ยว MINT, AOT, ERW 6) นิคม AMATA, WHA 7) โรงไฟฟ้า เน้นตัวที่ FTSE เพิ่มน้ำหนัก BGRIM 8) การบริโภค CPALL, KAMART, ICHI, ZEN
 
 
2019F Strategy : Wind of Change        
• 2H19 Best Picks :  ROBINS, CPF, CPALL, MINT, SCB, AMATA, WHA, STEC, PYLON, TASCO, KAMART
 
Fundamental & Tactical Daily Top Picks :
INTUCH (TP20F 73*): Support 61.5/61.0 Resistant 63.25/64.5        
• Theme : Yield play
• Earning Outlook: ปรับกำไร 2019F-20F ขึ้น เป็น 1.26/1.4 หมื่นลบ. เติบโตเฉลี่ย 2 ปีข้างหน้า 10% สะท้อนทิศทางอุตสาหกรรมมือถือสดใส และการแข่งขันด้านราคาลดลง หนุนให้ ARPU ของ ADVANC ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ในขณะที่ ผลประกอบการ 2H19F น่าจะขยายตัวเด่น h-h จากไม่มีตั้งสำรองธุรกิจดาวเทียวไทยคมและหมดโปรลดราคามือถือ
• Valuation: มูลค่าเหมาะสมปี 2020F ที่ 73 บาท การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เท่ากับ Dividend yield เฉลี่ยที่ 4.5% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
• Catalyst: ขึ้นเครื่องหมาย XD วันนี้ จ่ายปันผลงวด 1H19 ที่ 1.35 บาทต่อหุ้นหรือเท่ากับ Dividend yield เท่ากับ 2.2% + ฐานราคา Big lot 60.75 บาท จำกัด Downside ของหุ้น
 
JMART (TP19F 15.3*): Support 10.6/10.1 Resistant 11.5/12.0        
• Theme:   Consumer Recovery & Low Interest Rate Play
• Earnings Outlook: กำไร 2Q19 ดีกว่าตลาดคาด +10% ฟื้นตัวเป็นไตรมาสที่ 2 ในขณะที่ แนวโน้มผลประกอบการ 2H19F จะขยายตัวเด่น h-h โดยได้แรงหนุนหลักจาก JMT รับรู้รายได้จากพอร์ตที่ตัดต้นทุนแล้วเสร็จและ SINGER เร่งตัวปล่อยสินเชื่อ C4C หลังได้รับเงินเพิ่มทุน หนุนกำไร JMART ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 520.9 ลบ.
• Valuation: ราคาเป้าหมาย 2019F ที่ 15.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็น PER19F ที่ 21.5x อยู่ที่ระดับ -0.1SD ขึ้นเครื่องหมาย XD ปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 4.26 หุ้นเดิม: 1 หุ้นใหม่ วันที่ 25 ก.ย.19
• Catalyst: คาดแนวโน้มกำไร 3Q19F จะเติบโตเด่น y-y, q-q ประกอบกับ รอดูความคืบหน้าสินเชื่อ B2P หลังเปิดตัวไปเมื่อต้นส.ค.19 ซึ่งจะเป็นสะพานไปสู่การเปิดให้บริการสินเชื่อ P2P ในช่วง 4Q19F ที่จะเป็นพระเอกตัวจริง เป็น Upside ต่อประมาณการในปี 2019F/20F
 
SABINA (TP20F 40*): Support 30.25/29.5 Resistant 32.25/33.0        
• Theme: Earnings Play
• Earning outlook: เป็นบริษัทที่มีความครบเครื่องทั้งคุณภาพสินค้า, แบรนด์, การตลาดและช่องทางจำหน่าย และยังอยู่ในจุดที่เก็บเกี่ยวประโยชน์จากการมี Product champions และล่าสุดประสบความสำเร็จมากจาก Collection ใหม่ “Seamless fit” โดยรวมประเมินทั้งรายได้และอัตรากำไรยังขยายตัวได้ดี  ภาพทั้งปีคาดกำไร +19% ทำ new high ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9   
• Valuation: ราคาเริ่ม Outperform หลัง Laggard มานาน และซื้อขาย PER 19F 24.4 เท่า ยังเหมาะสม จากแนวโน้มผลประกอบการโตสูงและยังเพิ่ม Market share ได้ต่อเนื่อง  
• Catalyst: เป็นหุ้นที่ลงทุนใน 2 Theme 1)ได้ประโยชน์จาก Trade war มีนัยฯ  2) เติบโตไปกับ E Commerce และระยะสั้นประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า (เป็น Net import 5% ของยอดขาย)       
 
Note: TP (Bloomberg Consensus) , *TP(CNS), **TP(Nomura)
 
WEEKLY STRATEGY : บล.โนมูระ พัฒนสิน
 
Stimulus Package support
Top Picks: JMART, AMANAH, TASCO          
 
• Weekly outlook: “Rebound” ต้าน 1651/1673 จุด รับ 1612/1604จุด
 
• จิตวิทยาการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลังความเสี่ยงสงครามการค้าเริ่มผ่อนคลายลง จากการที่จีนส่งสัญญาณจะพบกันครึ่งทางกับสหรัฐฯ และดำเนินการตามข้อตกลงที่ผู้นำของทั้งสองฝ่ายตกลงไว้ในการประชุม G20 ถือเป็นท่าทีที่เบาลงหลังก่อนหน้านี้เผยว่าจะตอบโต้ทุกวิธีกับสหรัฐฯ เพิ่มความคาดหวังบวกต่อคณะทำงานของทั้งสองฝ่ายที่จะเจรจากันในสัปดาห์หน้า ผสานกับแรงกดดันจาก Inverted Yield Curve ของพันธบัตรสหรัฐฯผ่อนคลายลง หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวทั้ง 10 ปี และ 30 ปี เริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อมูลสถิติย้อนหลัง พบว่า การเกิด Inverted Yield Curved  ของ US Bond Yield ระยะ 2-10ปี ไม่ได้สะท้อน Recession 100% อย่างที่ตลาดกังวล และกว่าจะมีระยะเวลาที่เข้าสู่จุดที่เป็นความเสี่ยงจริงๆ มักจะเกิดในอีก 18-24 เดือนข้างหน้า บ่งชี้ภาวะตลาด ณ ปัจจุบันอยู่ในช่วงชะลอตัว ส่วนสำหรับตลาดหุ้นไทย ค่า Equity Risk Premium ที่สูงกว่า 4.52% สะท้อนกรอบซื้อในเชิงพื้นฐาน  1640-1580 จุด โดยได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ โดยล่าสุด ครม.เศรษฐกิจมีมติอนุมัติมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะภัยแล้ง มาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย วงเงินรวม 3.1 แสนล้านบาท ราว 1.94%ของ GDP เป็น Upside Risk ต่อคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้ที่ 3% ของ Nomura โดยสัปดาห์นี้จะมีตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจที่จะรายงาน นำโดย 2Q19 GDP (19ส.ค.) และตัวเลขส่งออก (21ส.ค.) ส่วนปัจจัยอื่นๆที่น่าติดตาม ได้แก่ 1) การประชุม Jackson Hole Economic Policy Symposium 22-24 ส.ค. ซึ่งผู้เข้าร่วมคือธนาคารกลางและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเงินทัวโลก โดยหัวข้อปีนี้เน้นไปที่ 'Challenges for Monetary Policy' ซึ่งน่าจะได้เห็นแนวทางของนโยบายการเงินผ่อนคลายของหลายประเทศ 2)FTSE Rebalnce คาดประกาศเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย  23 ส.ค. 2019 ช่วงกลางคืน มีผล  20 กย 2019 ราคาปิด โดยมีหุ้นไทย 3 บริษัทที่คาดว่าจะถูกนำเข้าใหม่ ได้แก่ KTC, BGRIM, TPIPL แต่อย่างไรก็ดี TPIPL ยังมีความเสี่ยงด้านคดีความจึงแนะนำให้เลี่ยงการเก็งกำไร ไปเน้น KTC, BGRIM แทน
 
• กลยุทธ์การลงทุน : ERP ของไทยที่เพิ่มขึ้นสูง 4.52% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.52% กำลังหนุนการฟื้นตัวของ SET โดยมีกรอบซื้อเชิงพื้นฐาน 1640-1580จุด Theme เด่น จากดอกเบี้ยต่ำ ได้แก่ 1) Consumer Finance: SAWAD,  AMANAH, JMART 2) High Yield: ADVANC, INTUCH, KKP 3) Property: AP, SPALI 4) ส่งออกอาหาร : CPF, TU(cover short) 5) ท่องเที่ยว MINT, AOT, ERW 6) นิคม AMATA, WHA 7) โรงไฟฟ้า เน้นตัวที่ FTSE เพิ่มน้ำหนัก BGRIM 8) การบริโภค CPALL, KAMART, ICHI, ZEN
 
• หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ JMART, AMANAH, TASCO  ส่วนสัปดาห์ก่อน AMATA, JMART, CPF  ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.20% ดีกว่าดัชนีฯที่ให้ผลตอบแทน -1.17%
1) JMART(TP15.3) : งบ Q2 ออกมากดี และคาดจะดีต่อใน Q3 +yy +qq
2) AMANAH(TP2.8) : คาดงบ 2H19 โตแรงต่อเนื่อง และมีเปิดสาขาเพิ่ม 2-5สาขา
3) TASCO(TP26) : คาดกำไร 2H19 โตเด่น + ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำ

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!