- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 13 August 2019 16:33
- Hits: 2719
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : Need to KNOW
Need to KNOW
ปัจจัยต่างประเทศ
- โกลด์แมน แซคส์ ลดคาดการณ์ GDP Growth สหรัฐ 4Q19 ลง 0.2%สู่ระดับ 1.8% จากสงครามการค้า และเชื่อว่าสหรัฐกับจีนจะยังไม่บรรลุข้อตกลงการค้าก่อนการเลือกตั้งปธน.สหรัฐปีหน้า
• IMF เห็นต่างจากปธน.ทรัมป์ โดยระบุว่าค่าเงินหยวนสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีน แต่ก็เรียกร้องให้ทางการจีนปล่อยให้เงินหยวนยืดหยุ่นมากขึ้นและแทรกแซงตลาดน้อยลง
- ธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ปรับเพิ่มแนวโน้มที่อังกฤษจะ Brexit แบบไม่มีข้อตกลงเป็น 50% (จากเดิม 40%) หลังจากได้บอริส จอห์นสันมาเป็นนายกรัฐมนตรี
- บริษัทใหญ่ในญี่ปุ่นเกือบ 70% มองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นหยุดเติบโต ขณะที่ 10% เชื่อว่าเศรษฐกิจเริ่มหดตัวแล้ว โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยืดเยื้อ
+ ราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐลด 6แท่น ซึ่งต่อเนื่องเป็น Week ที่ 6 สู่ระดับ 764 แท่น และลด 105แท่นจากสัปดาห์เดียวกันในปี 2018
ปัจจัยในประเทศ
- MSCI Quarterly Rebalancing รอบส.ค.2019 น้ำหนักตลาดหุ้นไทยลดลง 0.08% คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นกว่าล้านบาท การลดลงมาจากการนำตลาดหุ้นซาอุดิอาระเบียและ AShare ของจีนเข้ามาคำนวณเพิ่ม
+ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะเข้าครม.ภายในเดือนส.ค.นี้ ซึ่งจะเน้นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งด้านการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยว และการช่วยเหลือกลุ่ม SME
• รายงานกำไรสุทธิ 2Q19 และประกาศปันผลระหว่างกาลบจ.ในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะมี Deadline ปลายสัปดาห์นี้
+ ดอกเบี้ยนโยบายไทยลดลงเร็วกว่าคาด ทำให้ Spread ของDividend Yield กลุ่ม REIT และ Risk Free Rate กว้างขึ้น คาดว่าจะยังมีแรงซื้อ REIT ต่อในระยะสั้น
กลยุทธ์การลงทุน
สรุปภาพรวม : นักลงทุนยังกังวลกับทิศทางตลาดหุ้น และเข้าถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น ทองคำ พันธบัตร มากขึ้น หลังจากธนาคารกลางนิวซีแลนด์ อินเดีย ไทย ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายในWeek ที่แล้ว รวมทั้ง MSCI ปรับลดน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย0.08% มีผลสิ้นเดือนส.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดไทยมีปัจจัยช่วยพยุงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะออกมาภายในเดือนส.ค.นี้, Valuation ของหุ้นไทยที่ถูกลง และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากและมีแนวโน้มลดลงต่อ
กลยุทธ์ : ทยอยซื้อสะสมหุ้นดีในกลุ่ม Defensive และ DomesticPlay ที่เติบโตได้ รวมถึงหุ้นปันผลสูง & REIT ในจังหวะอ่อนตัวการวิเคราะห์เทคนิค : สัญญาณเป็นลบ (SET อยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ย10 วันเล็กน้อย) กลยุทธ์หลัก ซื้ออ่อนตัว โดยมีแนวรับ 1630-1620,1600 กลยุทธ์รอง ซื้อตามค่าบวก โดยมีแนวต้าน 1670-1680
หุ้น Top Picks รายสัปดาห์
หุ้นพื้นฐานเด่นสำหรับสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
DREIT – กองทุนมีสินทรัพย์เป็นโรงแรม (หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่)และกองทุนกำลังจะเพิ่มทุนซื้อโรงแรมที่มัลดีฟท์เข้ามาเพิ่มซึ่งเป็นLeasehold 39 ปี (หลังซื้อจะมี Freehold 49% และ Leasehold51%) กองฯมีสัญญารับรายได้ Fixed ไม่ต่ำกว่า 429 ล้านบาท/ปี(รวมมัลดีฟท์) ซึ่งทำให้ Dividend Yield ไม่ต่ำกว่า 7% ต่อปี (ณราคาหุ้น 6.25 บาท) ให้ราคาพื้นฐาน 7.55 บาท
RJH – คาด Core profit 2Q62F +60%YoY จากรายได้ +14% และมาร์จิ้นเพิ่ม 440bps เป็น 32.8% ส่วนกำไรสุทธิ +37%YoY เป็น 60ล้านบาท(มีสำรอง Employee benefit) แนะซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 33บาท
STEC – คาดรัฐบาลจะเร่งการลงทุนในพื้นที่ EEC เพื่อหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่ฟื้นตัว บริษัทมี Backlog มั่นคงเกือบ 1 แสนล้านบาท ฐานะเป็นเงินสดสุทธิ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 31 บาท
***หุ้นแนะนำ Week ก่อน คือ AIMIRT, BBL, KKP ให้ Return เฉลี่ย(WoW) เท่ากับ +0.2% ดีกว่า SET ที่ -2.0%***
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค & Research Team – [email protected]